แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 20
1
จัดฟันบางนา: การนำเทคโนโลยีล้ำสมัย มาใช้ในการฝังรากฟันเทียม !

ความก้าวหน้าในเทคโนโลยีในปัจจุบัน ถือว่าก้าวไกลมาก การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในทางทันตกรรมก็เป็นประโยชน์มาก ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการรักษามาขึ้น รวมถึงยังช่วยในเรื่องของการกำหนดตำแหน่ง เพื่อให้เกิดความแม่นยำมากขึ้นในการรักษา

แม้แต่การจัดฟันก็ยังได้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องของการวางแผนรากฟันเทียม แสดงผลแบบ 3D ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถเห็นผลการจัดฟันได้ล่วงหน้า และยังสามารถกำหนดระยะเวลา การเคลื่อนตัวของฟันได้อย่างแม่นยำ ทั้งนี้การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ก็มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการกำหนดจุดฝังรากฟันเทียม ทำให้มีความแม่นยำมากขึ้น

เทคโนโลยีที่นำเข้ามาใช้ในทางทันตกรรมกรณีรักษาด้วย การฝังรากฟันเทียม แต่การฝังรากฟันเทียม ได้นำเทคโนโลยีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วยกำหนดตำแหน่งในการฝังรากฟันเทียม จากการค้นคว้าได้พบว่า ความคลาดเคลื่อนของตำแหน่งรากฟันเทียมที่ฝังด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีความคลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 มิลลิเมตร ยังถือว่าเกิดความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย

หากเทียบกับการฝังรากฟันเทียมโดยไม่ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังใช้ในการทำทันตกรรมอย่างอื่นได้ด้วย เช่น สามารถวางแผนการรักษาได้ ประเมินผลการรักษาล่วงหน้าได้ โดยให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถเห็นผลการรักษาได้ก่อนเข้ารับการรักษา

อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีที่ทันสมัยนี้ ถือว่าเป็นประโยชน์มากในด้านทันตกรรม ทำให้มั่นใจในการรักษามากขึ้น ทำให้ผู้เข้ารับการรักษาสามารถเห็นผลการรักษาได้ล่วงหน้า ประกอบการตัดสินใจและคลายความกังวลได้ รวมไปถึงการบาดเจ็บหรือการเจ็บปวดในสมัยนี้ ก็ลดลงกว่าแต่ก่อน เนื่องด้วยที่ความก้าวหน้าในเรื่องของเครื่องมือทางทันตกรรมที่จะทำให้ผู้เข้ารับการรักษาเจ็บปวดน้อยลงและฟื้นตัวได้เร็วขึ้นด้วย

ทั้งนี้ทางคลีนิคเรามีเครื่องมือเครื่องใช้ในการรักษาที่ทันสมัย มีการนำเทคโนโลยีดังกล่าว เข้ามาช่วยในการวางแผนการรักษาและการประเมินผลที่แม่นยำ รวมไปถึงทีมทันตแพทย์มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของฟันและการใช้เทคโนโลยี มีประสบการณ์อย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่า คุณจะมีสุขภาพฟันและช่องปากที่ดีอย่างแน่นอน

2
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ (Cluster headache)

ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ เป็นโรคปวดศีรษะข้างเดียวที่มีอาการปวดฉับพลันและรุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ เป็นช่วง ๆ ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมาน แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายใด ๆ เป็นโรคที่พบได้ค่อนข้างน้อย (ในสหรัฐอเมริกาพบโรคนี้ประมาณ 1-4 คนในประชากร 1,000 คน) พบบ่อยในช่วงอายุ 20-50 ปี แต่ก็อาจเป็นตั้งแต่วัยรุ่นหรือตอนอายุ 50 ปีกว่าก็ได้

พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ในปัจจุบันพบว่าผู้หญิงได้เป็นโรคนี้มากขึ้น เนื่องจากผู้หญิงมีการสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จำนวนมากขึ้น ประกอบกับการวินิจฉัยมีความแม่นยำขึ้น จากเดิมที่ผู้หญิงปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นไมเกรน

ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่

    ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ชนิดครั้งคราว (epidemic cluster headache) ซึ่งพบเป็นส่วนใหญ่ มีอาการปวดนาน 1 สัปดาห์ถึง 1 ปี (ส่วนใหญ่ 2-12 สัปดาห์) และมีการเว้นช่วงที่ปลอดจากอาการนานอย่างน้อย 3 เดือนขึ้นไปก่อนจะเป็นรอบใหม่
    ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ชนิดเรื้อรัง (chronic cluster headache) ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย (ราวร้อยละ 20) มีอาการปวดติดต่อกันนานมากกว่าหนึ่งปีขึ้นไป โดยไม่มีการเว้นช่วงที่ปลอดจากอาการ หรือเว้นช่วงนานน้อยกว่า 3 เดือนก่อนจะเป็นรอบใหม่   

ทั้งสองชนิดนี้สามารถแปรเปลี่ยนไปมากันได้ ชนิดครั้งคราวอาจกลายมาเป็นชนิดเรื้อรัง หรือชนิดเรื้อรังกลายมาเป็นชนิดครั้งคราว


สาเหตุ

อาการของโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือด (หลอดเลือดขยายตัว) และเซลล์ประสาทของประสาทสมองเส้นที่ 5 และระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะบนใบหน้า

ส่วนสาเหตุของการเกิดโรคนี้ยังไม่ทราบ เชื่อว่าลักษณะการเกิดอาการเป็นรอบเวลา และมักเป็นตอนกลางคืน อาจเกี่ยวกับการทำงานผิดปกติของสมองส่วนไฮโพทาลามัส ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมนาฬิกาชีวิต (biological clock) ภายในร่างกาย วงจรการนอนหลับ และอื่น ๆ (เช่น อุณหภูมิร่างกาย ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ การหลั่งสารฮอร์โมน การทำงานของระบบประสาท เป็นต้น)

พบว่า บางรายมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย ซึ่งเกี่ยวกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์   

นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าปกติ (ผู้ที่แพทย์วินิจฉัยเป็นโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ มีประวัติสูบบุหรี่ถึงร้อยละ 85)

อาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์มักจะกำเริบจากการมีสาเหตุกระตุ้นที่สำคัญ ได้แก่ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (แม้ปริมาณเพียงเล็กน้อย) การได้กลิ่นฉุน ๆ (เช่น กลิ่นสี กลิ่นทินเนอร์ กลิ่นน้ำมันเบนซิน กลิ่นน้ำหอม) การเจอความร้อน (เช่น อากาศร้อน การอยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าว การอาบน้ำร้อน) การออกกำลังกายมากเกิน หรือการทำงานจนร่างกายเหนื่อยล้า การใช้ยาไนโตรกลีเซอรีน (สำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ)


อาการ

มีอาการปวดศีรษะข้างหนึ่ง เกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรง เริ่มด้วยอาการปวดแสบปวดร้อนที่ข้างจมูกหรือหลังเบ้าตา และจะปวดแรงขึ้นภายในไม่กี่นาที จนรู้สึกปวดรุนแรงจนสุดจะทนได้ตรงบริเวณรอบกระบอกตา หลังเบ้าตา และขมับ อาจปวดร้าวไปที่ใบหน้า หน้าผาก ท้ายทอย ลำคอ ไหล่ จมูก เหงือกหรือฟันข้างเดียวกัน 

ผู้ป่วยจะมีอาการรู้สึกคล้ายถูกแท่งน้ำแข็งเสียบผ่านเข้าไปในลูกตา หรือเทน้ำกรดผ่านรูหูเข้าไปในศีรษะ หรือคล้ายลูกตาถูกดันให้หลุดออกจากเบ้า

มักจะปวดตอนกลางคืนหลังเข้านอน 1-2 ชั่วโมง จนสะดุ้งตื่น นอนไม่หลับ ผู้ป่วยจะลุกขึ้นเดินพล่าน ในรายที่ปวดรุนแรงมาก อาจจะร้องครวญคราง นั่งโยกตัวไปมา คลานบนพื้น กุมศีรษะหรือใช้มือกดตรงบริเวณที่ปวด  หรือศีรษะโขกกำแพงหรือของแข็ง

บางรายอาจปวดตอนกลางวัน ซึ่งมักมีความรุนแรงน้อยกว่าตอนกลางคืน

อาการปวดมักจะเป็นทุกวัน ส่วนใหญ่จะเป็นวันละหลายครั้ง (บางรายอาจปวดวันละครั้งหรือสองวันครั้ง หรืออาจปวดถี่มากสุดถึงวันละ 8 ครั้ง) มักมีอาการปวดตรงเวลาทุกวัน แต่ละครั้งปวดนานประมาณ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง (ส่วนใหญ่ปวดอยู่นาน 30-90 นาที) แล้วจะหายปวดอย่างปลิดทิ้ง (แต่อาจรู้สึกอ่อนเพลียตามมา) เว้นช่วงเป็นชั่วโมง ๆ หรือเกือบวันจึงจะเริ่มปวดครั้งใหม่

อาการแต่ละรอบจะเป็นทุกวัน (หรือวันเว้นวัน) ส่วนใหญ่จะเป็นอยู่นานต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ แล้วหายเป็นปกติไปเอง มักมีช่วงที่ไม่มีอาการอย่างน้อย 2 สัปดาห์ขึ้นไป อาจนานเป็นแรมเดือนแรมปีจึงจะกำเริบรอบใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็น 1-2 รอบต่อปี เป็นวงรอบแบบนี้เรื่อยไป ซึ่งมักมีอาการกำเริบตรงฤดูกาลหรือตรงเดือน (เช่น เดือนตุลาคม) ของทุกปี ในแต่ละรอบที่กำเริบผู้ป่วยจะปวดอยู่ข้างเดิมทุกครั้ง ส่วนในรอบใหม่อาจเปลี่ยนไปปวดอีกข้างก็ได้ แต่ก็พบได้เป็นส่วนน้อย

ขณะที่มีอาการปวดศีรษะ ผู้ป่วยมักจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมด้วย ได้แก่   

    ตาข้างเดียวกับที่ปวดมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก หรือรูม่านตาหดเล็ก 
    รูจมูกข้างที่ปวดมีอาการคัดจมูกหรือน้ำมูกไหล
    ใบหน้าข้างที่ปวดออกซีดหรือแดงกว่าปกติ
    ใบหน้าและหน้าผากข้างที่ปวดมีเหงื่อออก

ส่วนน้อยอาจมีอาการคลื่นไส้ ไวต่อแสง (กลัวแสง)คล้ายไมเกรนร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้ถึงแม้จะปวดรุนแรงและเรื้อรัง แต่ก็ไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่เป็นอันตรายต่อชีวิต หรือทำให้สมองพิการแต่อย่างใด นอกจากทำให้มีผลต่อจิตใจ (เช่น กังวล ซึมเศร้า คิดฆ่าตัวตาย) และคุณภาพชีวิต (เช่น เป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน การออกสังคม)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

การตรวจร่างกาย อาจตรวจพบตาข้างที่ปวดมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก หรือรูม่านตาหดเล็ก ใบหน้าหรือหน้าผากข้างที่ปวดมีเหงื่อออก รูจมูกข้างที่ปวดมีน้ำมูกไหล

อาจตรวจพบชีพจรเต้นช้า หน้าซีดหรือหน้าแดง เจ็บหนังศีรษะ

อาจพบว่าผู้ป่วยมีอาการกระสับกระส่าย เคลื่อนไหวไปมา ร้องครวญคราง ก้มศีรษะต่ำและใช้มือกดบริเวณที่ปวด

ในรายที่มีอาการปวดศีรษะรุนแรง สงสัยว่าอาจเกิดจากโรคทางสมอง เช่น เนื้องอกสมอง หลอดเลือดสมองโป่งพอง (aneurysm) เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ สมองอักเสบ เป็นต้น ก็จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ตรวจเลือด เจาะหลัง (ตรวจน้ำไขสันหลัง) เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ขณะที่มีอาการปวดกำเริบเฉียบพลัน ให้การรักษาเพื่อบรรเทาปวดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ (100%) โดยการใช้หน้ากากครอบจมูกและปาก ด้วยอัตรา 6-8 ลิตร/นาที ทันทีที่เริ่มปวด จะช่วยให้ทุเลาได้ภายใน 15 นาที เป็นวิธีที่ได้ผลดีและปลอดภัย
    ฉีดซูมาทริปแทน (sumatriptan) 6 มก. เข้าใต้ผิวหนัง หรือฉีดไดไฮโดรเออร์โกตามีน (dihydroergotamine) 1-2 มก. เข้ากล้ามหรือหลอดเลือดดำ ยา 2 ชนิดนี้มีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดแดงตีบตัว ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ หรือโรคหัวใจและหลอดเลือด และไม่ควรใช้ยา 2 ชนิดนี้ร่วมกัน 
    ใช้ซอลมิทริปแทนชนิดพ่นเข้าจมูก (zolmitriptan nasal spray)
    บางรายแพทย์อาจจะใช้ยาชาชนิดพ่นเข้าจมูก (lidocaine nasal spray)

ในการรักษาโรคนี้ แพทย์จะใช้ยาฉีดหรือยาพ่นจมูก ไม่ใช้ยาแก้ปวดชนิดกิน เนื่องจากโรคนี้มีอาการปวดรุนแรงและเฉียบพลัน การกินยาแก้ปวดใช้ไม่ได้ผลเพราะออกฤทธิ์ช้า

2. ในรายที่มีอาการปวดทุกวัน แพทย์จะให้ยากินป้องกันไม่ให้ปวดซ้ำซาก ยาที่นิยมใช้เป็นตัวแรก ได้แก่ เวราพามิล (verapamil ซึ่งเป็นกลุ่มยาต้านแคลเซียม ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง) ข้อดีคือ ยานี้สามารถใช้ร่วมกับยาตัวอื่น และเหมาะกับการใช้กินป้องกันระยะยาวในผู้ที่มีอาการเรื้อรังนาน ๆ อาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องผูก เท้าบวม ความดันโลหิตต่ำ

สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งเป็น มีอาการปวดไม่บ่อยและมีช่วงปลอดจากอาการนาน แพทย์จะให้กินยาสเตียรอยด์ (เช่น ยาเม็ดเพร็ดนิโซโลน) ยานี้เหมาะสำหรับใช้ในช่วงสั้น ๆ เพราะหากใช้ติดต่อกันนาน ๆ อาจเกิดผลข้างเคียงมากมาย และอาจเป็นอันตรายได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก ภูมิคุ้มกันต่ำ (ติดเชื้อง่ายและรุนแรง) บวม โรคคุชชิง เป็นต้น

ถ้าใช้ยาดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล แพทย์อาจให้กินลิเทียมคาร์บอเนต (lithium carbonate) ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคอารมณ์สองขั้ว เหมาะสำหรับการกินป้องกันระยะยาวในผู้ที่มีอาการเรื้อรังนาน ๆ อาจมีผลข้างเคียง เช่น กระหายน้ำ ท้องเดิน มือสั่น ไตเสื่อม เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจให้ยารักษาโรคลมชัก เช่น โทพิราเมต (topiramate), ไดวาลโพรเอต (divalproate) เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจใช้เวราพามิลร่วมกับลิเทียม ซึ่งช่วยให้ได้ผลมากขึ้น

นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้วิธีที่ไม่ใช้ยา เช่น การใช้อุปกรณ์ส่งกระแสไฟฟ้ากระตุ้นประสาทเวกัสผ่านทางผิวหนังที่บริเวณข้างคอ (vagus nerve stimulation/VNS), การฉีดยาชาระงับความรู้สึกที่ท้ายทอย (occipital nerve block ซึ่งมักใช้ร่วมกับการให้กินยาเวราพามิล)

3. ผู้ป่วยจำนวนน้อยที่แพทย์อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัด มักเป็นผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรังที่ใช้ยาหรือรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ได้ผล หรือไม่สามารถใช้ยาได้ เนื่องจากมีผลข้างเคียงหรือข้อห้ามในการใช้ยา

การผ่าตัดมีอยู่หลายวิธี เช่น การใช้ความร้อนจากคลื่นวิทยุหรือรังสีแกมมาทำลายเส้นประสาทสมองเส้นที่ 5 (percutaneous radiofrequency ablation หรือ gamma knife radiosurgery), การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrodes) กระตุ้นเส้นประสาทบริเวณท้ายทอย (occipital nerve stimulation) หรือปมประสาทสะฟีโนพาลาไทน์ (sphenopalatine ganglion stimulation), การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้า (electrode) ไว้ในสมองส่วนไฮโพทาลามัส (deep brain stimulation) เป็นต้น


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดรุนแรงตรงบริเวณรอบและหลังเบ้าตา และใบหน้าซีกหนึ่ง หรือมีอาการปวดใบหน้าซีกหนึ่งร่วมกับมีอาการตาแดง น้ำตาไหล คัดจมูก น้ำมูกไหล หนังตาบวม หรือหนังตาตก โดยเป็นข้างเดียวกับใบหน้าที่ปวด หรือปวดตาและใบหน้าซีกเดียว ครั้งละประมาณ 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง ทุกวัน ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    ใช้ยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์
    หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรหยุดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังใช้ยาแล้วอาการไม่ทุเลา หรือกำเริบใหม่
    มีไข้ อาเจียน คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง) แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดลำบาก ซึม ชัก
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)
    ยาหาย หรือขาดยา
    มีความวิตกกังวล

การป้องกัน

โรคนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้สามารถป้องกันไม่ให้กำเริบบ่อยได้ ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นที่สำคัญ ได้แก่

    การสูบบุหรี่ 
    การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
    การได้กลิ่นฉุน ๆ เช่น กลิ่นสี กลิ่นทินเนอร์ กลิ่นน้ำมันเบนซิน กลิ่นน้ำหอม
    การเจอความร้อน เช่น อากาศร้อน การอยู่ในห้องที่ร้อนอบอ้าว การอาบน้ำร้อน
    การกำลังกายมากเกิน หรือการทำงานจนเหนื่อยล้า

2. การใช้ยาป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ เช่น เวราพามิล (verapamil), เพร็ดนิโซโลน, ลิเทียมคาร์บอเนต เป็นต้น

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน ต่างกันที่โรคนี้พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ปวดรุนแรงกว่าแต่ระยะเวลาสั้นกว่าไมเกรน (ปวดนาน 15 นาทีถึง 3 ชั่วโมง) และปวดแบบเว้นระยะเป็นช่วง ๆ แต่เป็นทุกวัน หรือวันเว้นวัน นานเป็นสัปดาห์ถึงเป็นแรมปี (ไมเกรนพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จะปวดติดต่อกันนานครั้งละ 4-72 ชั่วโมง แล้วเว้นไปนานกว่าจะกำเริบใหม่) โรคนี้มักจะไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กลัวแสง และกลัวเสียง (ซึ่งตรงข้ามกับไมเกรน) แต่จะมีอาการตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม หนังตาตก รูม่านตาหดเล็ก หรือน้ำมูกไหลร่วมด้วย  (ซึ่งไม่พบในไมเกรน) โรคนี้เวลาปวด ผู้ป่วยจะอยู่ไม่นิ่ง จะเดินไปมา หรือโยกตัว (ผู้ป่วยไมเกรนจะหยุดเคลื่อนไหว นั่งหรือนอนพักในห้องมืด ๆ เงียบ ๆ)

2. ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอาการปวดต่อเนื่อง ไม่เว้นระยะ หรือปวดนานเป็นวัน ๆ ควรคิดว่าอาจเป็นโรคร้ายแรงทางสมอง (เช่น เนื้องอกสมอง หรือเลือดออกในสมอง สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น) ดังนั้น ถ้ามีอาการปวดศีรษะรุนแรงร่วมกับมีประวัติศีรษะได้รับบาดเจ็บ หรือมีอาการไข้ อาเจียน คอแข็ง (ก้มคอไม่ลง) แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดลำบาก ซึม หรือชัก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

3. โรคนี้แม้จะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง และเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง (บางคนอาจเป็นไปจนตลอดชีวิต บางคนเมื่ออายุมากขึ้นก็จะปวดห่างขึ้น และมีช่วงปลอดอาการนานขึ้น) แต่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด การรักษาเพียงให้ยาบรรเทาอาการปวด (ขณะมีอาการปวดรุนแรงเฉียบพลัน มักจะต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อใช้ยาฉีดบรรเทาอาการ ยาแก้ปวดชนิดกินจะใช้ไม่ได้ผล) และให้ยากินป้องกันไม่ให้กำเริบบ่อย ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองไม่ให้กำเริบบ่อยด้วยการหลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้น

3
มอเตอร์เอ็กซ์โปร์: โอร่า ORA Good Cat Pro ปี 2024
629,000 บาท 

โอร่า ORA Good Cat Pro ปี 2024
ORA Good Cat PRO เจ้าเหมียวไฟฟ้าขวัญใจชาวไทย ถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ที่จะเริ่มทำการผลิตจากโรงงาน เกรท วอลล์ มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) เพื่อส่งออก ขายสู่ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทย โดยจะมากับสีภายนอก 5 สี ได้แก่ สีเขียว (Pistachio Green), สีเขียวพร้อมหลังคาสีขาว (Verdant Green with Hamilton White Roof), สีเบจพร้อมหลังคาสีน้ำตาล (Hazel Wood Beige with Wisdom Brown Roof), สีขาวพร้อมหลังคาสีดำ (Hamilton White with Black Roof) และ สีขาว (Hamilton White)ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ หรือ 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมความสามารถการกู้คืนพลังงาน (Energy Recovery) ได้สามระดับ ได้แก่ น้อย, มาตรฐาน และมาก เพื่อการประหยัดพลังงาน

หมายเหตุ จากราคา 799,000 บาท เหลือเพียง 629,000 บาท

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์           ORA
   รุ่น                โอร่า ORA Good Cat Pro ปี 2024
   ประเภทรถ       รถเก๋ง 5 ประตู, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว        2024
   ราคา             629,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
ซันรูฟ (เปิดได้)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
ไฟตัดหมอก (หลัง)
ระบบควบคุมระยะการจอด (หลัง 4 จุด)
ไฟท้าย LED (Tail Light Strip)
ขนาดยางหน้า-หลัง (215/50 R18)
ปัดน้ำฝนกระจกหน้าแบบพิเศษ (อัตโนมัติ)
ไฟหน้า LED (อัจฉริยะ พร้อมระบบ เปิด-ปิดอัตโนมัติ)
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า)
ไฟ Daytime Running Lights
ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์
ล้ออัลลอย (18 นิ้ว)

   ภายใน
ปลั๊กไฟ 12 โวลท์
พวงมาลัยหุ้มหนัง
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้
ภายในโทนสีดำ
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (5 รูปแบบ มาตรฐาน/Sport/ECO/ECO+/อัตโนมัติ)

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า          มอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ให้กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์หรือ 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)       แรงม้า
   ระบบเกียร์                        1 จังหวะ
   รูปแบบเกียร์                      ก้านเปลี่ยนเกียร์เกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ด้านข้างพวงมาลัย
   ระบบเบรค ABS                 มี
   ชนิดแบตเตอรี่                    ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่                  57.7 kWh
  ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง     แบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP) มีระยะทางวิ่ง สูงสุด 480 กิโลเมตร (NEDC Standard)
   น้ำหนักตัวรถ                         -
   ประเภทยางรถยนต์                  -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)                       ล้ออัลลอย (18 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน                      ขับเคลื่อนล้อหน้า

ระบบความปลอดภัยระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย 
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESP)
ตัวถังนิรภัย
ดิสก์เบรก 4 ล้อ
เซ็นทรัลล็อค
สัญญาณกันขโมย
ไฟเบรกดวงที่ 3
สัญญาณเตือนถอยหลัง (เมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง CTA)
รีโมทคอนโทรล (Smart Keyless Entry และระบบ Quick Start System)
ระบบป้องกันการโจรกรรม
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (Intelligent Safety,ระบบจอดรถด้วยเกียร์ N,ระบบตรวจสอบสถานะผ่านแอปพลิเคชั่น,การควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน)
เข็มขัดนิรภัย
คานเหล็กเสริมนิรภัย
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน
อื่นๆ (ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินบนทางตรงและทางแยกและคนเดินเท้า, ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนด้านหน้า, รบบช่วยเบกฉุกฌฉินที่ความเร็วต่ำ, ระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง ฯลฯ)
ระบบ intelligence around view monitor กล้องมองภาพรอบทิศทาง
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล
ระบบสั่งการด้วยเสียง
ระบบช่วยเบรกแบบแอคทีฟ (ที่ความเร็วตํ่า, ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน, ระบบช่วยรักษาระยะให้อยู่กลางเลน)
กล้อง
เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HSA (ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง,ระบบช่วยชะลอความรุนแรงของการชนครั้งที่ 2)
เบรกมือไฟฟ้า (พร้อมฟังก์ชันหยุดอัตโนมัติขณะรถหยุดนิ่ง)
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX)

4
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19: เมื่อไหร่ต้องไปตรวจโควิด19

ในสถานการณ์ที่เชื้อโควิด19 กำลังระบาดหนัก หลายคนอาจจะมีคำถามว่า “เราติดหรือยัง” แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถตรวจหาเชื้อโควิด19 ได้ เพราะผู้ที่สามารถตรวจหาเชื้อโควิด19 ได้จะต้องเป็นผู้ที่เข้าเกณฑ์ดังนี้

    มีไข้ตั้งแต่ 37.5 องศาขึ้นไป
    หรือมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น

    ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อย หายใจลำบาก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส

นอกจากนี้อาการโควิด19 ระลอกใหม่ที่ระบาดในช่วงเดือน เม.ย.64 นี้ พบผู้ป่วยมีอาการทางผิวหนังเพิ่มเติม ได้แก่

    มีผื่นขึ้นที่เท้า หรือนิ้วเท้า โดยมีลักษณะเฉพาะเป็นตุ่มหรือผื่นแดง ลักษณะคล้ายตาข่าย หรือเส้นใยเล็ก ๆ ขึ้นที่เท้า หรือบริเวณผิวหนังส่วนอื่น ๆ มักพบในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการหรือมีอาการไม่มาก
    ข้อสังเกต ผื่นโควิด19

** มีผื่นแดง ลักษณะคล้ายตาข่าย
** มีจุดเลือดออก
** มีผื่นบวมแดงคล้ายโรคลมพิษ
** บางรายอาจมีลักษณะตุ่มน้ำคล้ายโรคสุกใส
** ซึ่งจะเกิดอาการฉับพลัน ร่วมกับอาการมีไข้ ไอ จาม และระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ

    บางรายอาจมีอาการเกี่ยวกับตา เช่น เยื่อบุตาอักเสบหรือบวม ,ตาแดง,น้ำตาไหล,ระตายเคืองตา,คันตา,มีขี้ตา,ตาสู้แสงไม่ได้
    ผู้ที่เดินทางมาจากเขตติดโรค หรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง
    ประกอบอาชีพที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เดินทางมาจากเขตติดโรค หรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง
    เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่สงสัย หรือผู้ป่วยยืนยันว่าเป็นโควิด19
    เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยัน

ประชาชนทั่วไปเมื่อไหร่ ต้องไปตรวจโควิด19 แบบเข้าใจง่าย ๆ เป็นกรณี

กรณีที่ 1 : ไม่มีอาการ ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด19 และไม่ได้กลับมาจากพื้นที่เสี่ยง
>> ไม่ต้องไปตรวจ

กรณีที่ 2  : ไม่มีอาการ สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด19 และกลับมาจากพื้นที่เสี่ยง
>> ยังไม่ต้องไปตรวจ “กักตัวเอง 14 วัน” สังเกตอาการตัวเอง หากมีไข้สูงขึ้น ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อยให้ไปตรวจ

กรณีที่ 3 : มีไข้ ไอ มีน้ำมูก แต่ไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด19 และไม่ได้กลับมาจากพื้นที่เสี่ยง
>> ยังไม่ต้องไปตรวจ “กักตัวเอง 14 วัน” สังเกตอาการตัวเอง หากมีไข้สูงขึ้น ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อยให้ไปตรวจ

กรณีที่ 4 :  มีอาการเล็กน้อย มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ไปสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยโควิด19 และกลับมาจากพื้นที่เสี่ยง
>> ให้รีบไปตรวจหาเชื้อโควิด19

กรณีที่ 5 : มีไข้สูง ไอ หอบเหนื่อย จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส หรือมีอาการตาแดง เป็นผื่น
>> ให้รีบไปตรวจหาเชื้อโควิด19

กรณีที่ 6 : มีไข้สูง ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อย + เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจำตัว และมีอาการเจ็บหน้าอกเฉียบพลัน
>> ให้รีบไปตรวจหาเชื้อโควิด19

เมื่อสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ควรทำอย่างไร?

กลุ่มที่ 1 : ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง คือมีโอกาสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ มีการพูดคุยกันตั้งแต่ 5 นาทีขึ้นไป โดยที่ไม่ใส่หน้ากากอนามัย มีการไอ จามใส่กัน มีการกินอาหารจาน ช้อน หรือดื่มเครื่องดื่มแก้วเดียวกัน หรืออยู่ในห้องเดียวกัน นานกว่า 15 นาทีโดยที่อากาศไม่ถ่ายเท และไม่มีการใส่หน้ากากอนามัย

สิ่งที่ต้องดำเนินการ

    กักตัว 14 วัน จะเป็นแบบกักตัวเองที่บ้าน หรือในสถานที่ราชการกำหนด (แล้วแต่กรณี)
    ตรวจหาเชื้อโควิด19

ครั้งที่ 1 หลังจากที่ทราบว่าเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง แม้ว่าผลการตรวจในครั้งแรกจะเป็นลบ ก็ยังไม่ได้บอกว่าจะปลอดภัย ขอให้กักตัวอยู่ที่บ้าน และใส่หน้ากากอนามัยให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ไม่ควรอยู่ที่ชุมชน หรือพบปะบุคคลอื่นเด็ดขาด

ครั้งที่ 2 หลังจากตรวจครั้งที่ 1 ไปแล้ว 7 วัน

ครั้งที่ 3 หากมีข้อสงสัยหรือมีอาการ สามารถตรวจเพิ่มเติมได้

กลุ่มที่ 2 : ผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ สามารถทำกิจกรรมหรือใช้ชีวิตปกติได้ แต่แนะนำให้ใส่หน้ากากอนามัย หลีกเลี่ยงการพบปะคนหมู่มาก และสังเกตอาการตัวเอง

 สำหรับผู้ที่ไปตรวจหาเชื้อโควิด19 ระหว่างรอผลตรวจควรทำอย่างไร

    งดออกจากที่พัก หรือจังหวัดที่อาศัย
    งดไปสถานที่ชุมชน หรือสถานที่แออัด หรือมีคนเยอะ
    งดใกล้ชิดครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุและเด็ก
    ใส่หน้ากากอนามัยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
    กักตัวต่อให้ครบ 14 วัน


5
รีไฟแนนซ์บ้าน 2567 ความจำเป็นที่คุณควรทราบ พร้อมตอบทุกข้อสงสัย และชี้เป้ารีไฟแนนซ์ที่ไหนดีสุด คุ้มสุด แบบไม่จกตา!

หลายคนเมื่อกู้ซื้อบ้าน อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับในช่วง 3 ปีแรกของการผ่อนชำระจะค่อนข้างต่ำ แต่พอเข้าปีที่ 4 จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยเดิมที่เคยได้รับก็จะมีการปรับเปลี่ยนไป ส่วนใหญ่จะไปในทางขาขึ้น คือแพงขึ้น (เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว) ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่ทำให้หลายคนต้องมองหาสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อเป็นตัวช่วยในการลดภาระดอกเบี้ย เพื่อให้หนี้หมดไว เป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น หรือเป็นตัวช่วยลดภาระค่าผ่อนชำระในกรณีที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน...อย่ารอช้าเลยค่ะ มาดูและทำความรู้จักกับ "สินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน" ไปพร้อมๆ กันเลยค่ะ

ทำความเข้าใจ กับ "รีไฟแนนซ์บ้าน"
"รีไฟแนนซ์บ้าน" เป็นการยื่นขอสินเชื่อเปลี่ยนหนี้ก้อนเก่าให้เป็นหนี้ก้อนใหม่ทั้งก้อน กับธนาคารใหม่ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนั้น เราจะเลือกรีไฟแนนซ์ไปยังธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ยถูกลงกว่าหนี้เดิม นอกจากนี้การรีไฟแนนซ์ยังสามารถทำให้เรากำหนดกลยุทธ และวิธีการในการผ่อนชำระสินเชื่อได้ เช่น
 
ตัวอย่างที่ 1 ถ้าเราอยากผ่อนชำระให้หนี้หมดเร็ว เราก็ควรเลือกระยะเวลาผ่อนชำระให้สั้นลง
ตัวอย่างที่ 2 ถ้าเราอยากผ่อนคลาย โดยชำระค่างวดต่อเดือนลดลง เราก็ควรเลือกยืดระยะเวลาการกู้ให้ยาวขึ้น เพื่อที่จะทำให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนนั้นลดลง
 
ทั้ง 2 ตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ว่า "รีไฟแนนซ์" มีประโยชน์ช่วยให้เราสามารถกำหนดและวางแผนการเงินในอนาคตได้นั่นเอง

ทำไม? ถึงจำเป็นต้อง "รีไฟแนนซ์บ้าน"
เมื่อเข้าใจความหมายของ "รีไฟแนนซ์บ้าน" แล้วว่าคืออะไร เพื่อนๆ เคยสงสัยมั้ยคะว่า...ทำไม? ถึงจำเป็นจะต้อง "รีไฟแนนซ์บ้าน" ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่ก็มาจากการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยในสัญญาสินเชื่อกู้ซื้อบ้านเดิม ซึ่งมักจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยในช่วงแรก (1-3 ปีแรก) ค่อนข้างต่ำ ไม่ว่าจะเป็นแบบคงที่ (Fixed Rate) หรือแบบลอยตัว (Floating Rate) แต่หลังจากพ้น 3 ปีแรกไปแล้ว อัตราดอกเบี้ยก็จะถูกปรับเปลี่ยนไปเป็นแบบลอยตัว (Floating Rate) ซึ่งเมื่อคำนวณแล้วมักจะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าในช่วงแรก ดังนั้น เราควรมาทำความรู้จักกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกันต่อเลยค่ะ โดยปกติแล้วแต่ละธนาคารมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย เป็น 2 ลักษณะ คือ
 

อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate) คือ ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดและได้ตกลงกันไว้ในสัญญาเป็นตัวเลขคงที่ในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ดอกเบี้ย 3% ต่อปีตลอดอายุสัญญา หรือ 3% ในช่วง 3 ปีแรก ซึ่งธนาคารจะมีสิทธิ์คิดอัตราดอกเบี้ยได้แค่ 3% ต่อปีเท่านั้น ไม่สามารถคิดมากกว่านี้ได้ ดังนั้น การคิดอัตราดอกเบี้ยแบบ Fixed Rate จะทำให้เราสามารถคาดการณ์ภาระดอกเบี้ยจ่ายที่แน่นอนได้
อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่อ้างอิงตามค่า MLR MOR หรือ MRR ซึ่งจะมีความแตกต่างกันในแต่ละธนาคาร ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งเมื่อใดที่ธนาคารมีการเปลี่ยนแปลง ก็จะประกาศอัตราใหม่ให้ลูกค้าทราบ

 
มาถึงตอนนี้...สิ่งที่จะตัดสินว่าตกลงจะรีไฟแนนซ์ หรือไม่รีไฟแนนซ์ นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองค่ะว่า เรามีความต้องการและความจำเป็นที่จะต้องรีไฟแนนซ์หรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น จึงขอนำข้อเปรียบเทียบระหว่างการ “รีไฟแนนซ์” และ “ไม่รีไฟแนนซ์” มาฝากให้เพื่อนๆ ได้คิดและตัดสินใจกันอีกครั้งค่ะ
 

ประโยชน์ของการ "รีไฟแนนซ์บ้าน" คืออะไร?
การ "รีไฟแนนซ์บ้าน" นับได้ว่ามีประโยชน์มากนะคะ ซึ่งเมื่อเราต้องการที่จะวางแผนการเงินในอนาคตหรือลดภาระให้กับตัวเองเมื่อเกิดสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันโดยเฉพาะเรื่องการเงิน เพราะการ "รีไฟแนนซ์บ้าน" ทำให้เราสามารถวางแผนการเงินในอนาคตได้ตามความจำเป็นและความต้องการของเรา แบ่งได้เป็นกรณีต่างๆ ดังนี้
 
กรณีที่ 1 วางแผนผ่อนชำระให้หนี้หมดเร็วขึ้น ซึ่งในกรณีนี้เราจะต้องเลือกผ่อนในจำนวนระยะเวลาที่สั้นลง ด้วยยอดผ่อนชำระต่อเดือนที่มากขึ้น เช่น

ตัวอย่างเช่น  ในสัญญาเงินกู้ซื้อบ้านปัจจุบัน สัญญาผ่อนชำระ 30 ปี ถ้าเราผ่อนส่งให้กับธนาคารเดิมมาแล้ว 3 ปี เหลือยอดหนี้ 2,000,000 บาท เหลือระยะเลาผ่อนชำระ 27 ปี ยอดผ่อนชำระต่อเดือน 14,000 บาท และเมื่อเราเลือกที่จะรีไฟแนนซ์ด้วยความต้องการจะให้หนี้หมดเร็วขึ้น ในสัญญารีไฟแนนซ์ฉบับใหม่นี้เราสามารถเลือกระยะเวลาในการผ่อนให้น้อยลงได้จากการยกยอดหนี้เดิมมา 2,000,000 บาท เลือกผ่อน 20 ปี ยอดผ่อนชำระต่อเดือน 18,000 บาท เป็นต้น โดยในกรณีนี้ จำนวนการผ่อนชำระที่มากขึ้น ระยะเวลาที่สั้นลงก็จะทำให้หนี้เราหมดเร็วขึ้นนั่นเองค่ะ
 
กรณีที่ 2 วางแผนที่จะลดยอดผ่อนชำระต่อเดือนให้น้อยลง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่เป็นอยู่ในแต่ละเดือน ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันที่หลายๆ คนมีสถานะทางการเงินเปลี่ยนแปลงอันเนื่องมาจากสถานการณ์  Covid-19 หรืออาจเกิดจากสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อสถานะทางการเงิน
 
ตัวอย่างเช่น ในสัญญาเงินกู้ซื้อบ้านปัจจุบัน สัญญาผ่อนชำระ 30 ปี ถ้าเราผ่อนส่งมาแล้ว 3 ปี เหลือยอดหนี้ 2,000,000 บาท เหลือระยะเวลาผ่อนชำระ 27 ปี ยอดผ่อนชำระต่อเดือน 14,000 บาท เราสามารถยื่นขอรีไฟแนนซ์ในยอดหนี้คงเหลือ และยืดระยะเวลาการกู้ให้เป็น 30 ปี ใหม่ได้ เพื่อให้ยอดหนี้ในการผ่อนชำระลดลงต่อเดือนเป็น 12,000 บาท เป็นต้น แต่ในกรณีนี้จะต้องดูเงื่อนไขเรื่องอายุของผู้กู้ด้วยนะคะ เพราะบางธนาคารกำหนดการเลือกระยะเวลากู้รวมกับอายุผู้กู้ต้องไม่เกิน 65 ปี เป็นต้น


"รีไฟแนนซ์บ้าน" มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านปกติแล้วก็จะไม่แตกต่างจากการขอกู้ซื้อบ้านใหม่สักเท่าไหร่ ซึ่งเรียกว่า "ค่าดำเนินการ" โดยการจะรีไฟแนนซ์บ้านแต่ละครั้งเราจึงควรพิจารณาในส่วนนี้ร่วมกับอัตราดอกเบี้ยด้วยนะคะ เพราะคนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามส่วนนี้ไป และดูแค่ว่าดอกเบี้ยธนาคารไหนถูกสุดก็เลือกเลย จึงทำให้การตัดสินใจเลือกกู้กับธนาคารบางแห่งพอบวก ลบ คูณ หาร แล้วกลายเป็นว่าแพงกว่าธนาคารอื่นนั่นเอง สุดท้ายก็จะกลายเป็นการตัดสินใจที่ไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่เราควรนำมาเปรียบเทียบด้วยว่า จะขอกู้รีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารไหนดีสุด คุ้มสุด ก็อย่าลืม! เปรียบเทียบในเรื่องของ "ค่าใช้จ่าย" ด้วยนะคะ มาดูกันค่ะว่า "ค่าใช้จ่าย" ที่จะเกิดขึ้นจากการรีไฟแนนซ์บ้านนั้นปกติแล้วมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?
 
ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน โดยทางธนาคารที่เราไปขอรีไฟแนนซ์บ้าน จะให้เจ้าหน้าที่ไปประเมินทรัพย์ ว่าปัจจุบันบ้านของเรามีมูลค่าอยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อใช้ประกอบการอนุมัติวงเงินกู้ให้กับเรา ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคารด้วยค่ะ
ค่าจดจำนอง โดยในการรีไฟแนนซ์แต่ละครั้งเราจะต้องไปจดจำนองใหม่ ณ กรมที่ดิน ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะคิด 1% ของยอดสินเชื่อใหม่
ค่าอากรแสตมป์ ปกติใช้ในอัตรา 0.05% ของยอดสินเชื่อใหม่ที่เราขอกู้
ค่าเบี้ยประกันภัย หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งในส่วนนี้แล้วแต่เงื่อนไขและข้อตกลงของแต่ละธนาคาร
ค่าเบี้ยปรับ โดยเกิดจากการขอรีไฟแนนซ์ในกรณีที่ผิดเงื่อนไขกับธนาคารเดิม เช่น ผ่อนชำระกับธนาคารเดิมไม่ถึง 3 ปี หรือตามเงื่อนไขในสัญญาเดิม ซึ่งอาจจะคิดในอัตรา 0-3% ของวงเงินกู้ (ในข้อนี้เราควรผ่อนชำระกับที่เดิมให้ครบ 3 ปี หรือครบตามเงื่อนไขในสัญญาเดิมก่อนนะคะ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะได้ไม่เกิด)
ชี้เป้า!! เลือกมาให้แล้ว "รีไฟแนนซ์บ้าน" กับธนาคารไหนดีที่สุด คุ้มที่สุด?
จากข้อมูลเรื่องการ "รีไฟแนนซ์บ้าน" ข้างต้นนี้ หวังว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ในเรื่องของการรีไฟแนนซ์บ้านมากขึ้นนะคะ หากใครกำลังคิดจะวางแผนในการผ่อนบ้านก็อย่าลืมนำข้อมูลเหล่านี้ไปประกอบการตัดสินใจนะคะ และหากใครผ่อนชำระบ้านครบ 3 ปีแล้ว หรือครบตามเงื่อนไขในสัญญากู้ซื้อบ้านเดิมแล้วอยากจะรีไฟแนนซ์ แต่ยังเลือกธนาคารที่จะขอกู้ไม่ได้ วันนี้ได้รวบรวมข้อมูลที่ดูแล้วคุ้มสุด ดีสุด ในช่วงนี้มาฝากเพื่อนๆ เช่นเคยค่ะ ซึ่งในครั้งนี้ทางทีมงานจะขอชี้เป้าไปที่ "สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์" ค่ะ เพราะหลังจากที่ทำการเช็กรายละเอียดสินเชื่อ และเปรียบเทียบแล้วเห็นว่า "สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์" ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา นี้เป็นสินเชื่อที่น่าสนใจ ถ้าพร้อมแล้วไปทำความรู้จักกับ "สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์" กันเลยค่ะ
 
จุดเด่นหลักๆ ที่ทำให้สนใจและสะดุดกับ "สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์" ในแวบแรกนั่นก็คือ "อัตราดอกเบี้ยปีแรกต่ำสุด 0.5% ต่อปี" (ซึ่งถือว่าต่ำมากในตลาดดอกเบี้ยสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านในตอนนี้) และที่เพิ่มเติมก็เป็นการลดค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้านครั้งนี้ของเราได้อีกด้วย จากรายการโปรโมชั่น  "ฟรี! ค่าประเมินหลักประกัน" และ "ฟรี! ค่าจดจำนอง" บอกได้เลยว่า "WoW" ค่ะ
 
ลักษณะเด่นของ "สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์" สรุปได้ดังนี้
อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านต่ำ ให้คุณประหยัดมากขึ้น
ได้วงเงินกู้สูงสุด 95% ของราคาประเมิน
หากมีวงเงินเหลือ กู้เพิ่มสินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคชได้
ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 30 ปี (ระยะเวลาผ่อนชำระรวมกับอายุผู้กู้แล้วต้องไม่เกิน 65 ปี)
ใครที่มีคุณสมบัติตามนี้ก็สามารถกู้ได้เลยค่ะ
บุคคลธรรมดา ต้องมีสัญชาติไทย อายุ 20 - 65 ปี
พนักงานประจำที่มีอายุงานรวมที่ทำงานเดิมและปัจจุบันตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป (งานปัจจุบันต้องผ่านการทดลองงานแล้ว)
ผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัวและประกอบธุรกิจมาตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป
ผู้กู้ร่วมต้องมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับผู้กู้และสามารถตรวจสอบความสัมพันธ์ได้
ไม่ดู ไม่ได้แล้ววว...รู้หรือไม่ว่า “รีไฟแนนซ์กับกรุงศรีแล้ว ประหยัดเงินได้เท่าไหร่?
 

a คำนวณจากการผ่อนสินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ย MRR – 2.70% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา
b คำนวณเปรียบเทียบกับการผ่อนสินเชื่อบ้านอยู่กับธนาคารอื่น ด้วยยอดเงินกู้คงเหลือ 3,000,000 บาทในอัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.25% ต่อปี และมีค่างวดผ่อนชำระต่อเดือนเท่ากันกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา
 
อัตราดอกเบี้ย "สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์" มีให้เลือกหลายแบบ ถูกใจทางเลือกไหน ดูได้ตามนี้ค่ะ
 
หมายเหตุ :
ทางเลือกอัตราดอกเบี้ยใช้ตั้งแต่วันที่  1 ก.ย. 64 - 31 ธ.ค. 64
*เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองได้
*** อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 3 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้าซื้อ MRTA / MLTA หาก ค่าเบี้ย MRTA / MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้

สุดท้ายนี้...ทางเราหวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับเพื่อนๆ ที่กำลังสนใจหรือมองหาสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านอยู่ไม่มากก็น้อยนะคะ ซึ่งในส่วนของคำถามที่ว่า เราควร "รีไฟแนนซ์บ้าน" หรือไม่นั้น จากความคิดเห็นของ GURU เห็นว่าเมื่อเราได้ผ่อนชำระสินเชื่อบ้านครบ 3 ปีแล้ว ควรที่จะขอกู้สินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านต่อดีกว่าที่จะปล่อยให้ดอกเบี้ยเงินกู้เก่าเพิ่มขึ้นตามเงื่อนไขในสัญญา เพราะประโยชน์ของการรีไฟแนนซ์ก็มีไม่น้อย (ตามที่ได้นำเสนอข้างต้น) ซึ่งเมื่อคำนวณเรื่องค่าใช้จ่าย ความต้องการ และความจำเป็นแล้วเห็นว่าคุ้ม ก็อย่ารอช้าค่ะ และที่สำคัญหากใครยังไม่รู้จะเลือกขอกู้สินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารไหน GURU ก็ขอแนะนำ "สินเชื่อบ้านกรุงศรีรีไฟแนนซ์" ของธนาคารกรุงศรีอยุธยา ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการตัดสินใจค่ะ สนใจติดต่อได้ที่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา หรือโทร. 1572

6
อาหารสายยาง อาหารทางการแพทย์มีสูตรอะไรบ้าง

หลายคนถามว่า อาหารทางการแพทย์คืออะไร อาหารทางการแพทย์คือ อาหารที่มีสูตรพิเศษสำหรับผู้ป่วยเฉพาะโรคเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยได้รับสารอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมมากที่สุด และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเกิดภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งอาหารทางการแพทย์นั้น สามารถใช้เป็นอาหารหลักแทนอาหารในแต่ละมื้อได้

    สำหรับผู้ที่รับประทานอาหารได้ตามปกติเช่น ผู้ป่วยอัมพาต
    สำหรับผู้ป่วยที่ร่างกายไม่สามารถย่อยและรู้สึกดูดซึมอาหารได้ตามปกติเช่น ผู้ป่วยไตวายที่ต้องการอาหารที่จำกัดในเรื่องของปริมาณโซเดียมและโพแทสเซียม
    สำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องจำกัดในเรื่องของอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ

    อาหารทางการแพทย์ยังสามารถใช้เป็นอาหารเสริมเพื่อเพิ่มพลังงานให้กับผู้ที่รับประทานอาหารเองได้ แต่ได้รับปริมาณพลังงานที่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายเช่น ผู้สูงอายุ ที่มักจะมีปัญหาในเรื่องของการรับประทานอาหาร อาจมาจากร่างกายที่เกิดความเปลี่ยนแปลงปัญหาสุขภาพช่องปากและฟัน ทำให้รู้สึกเบื่ออาหารผู้ป่วยหลังผ่าตัดที่สามารถรับประทานอาหารเองได้ แต่มีความต้องการพลังงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

แต่อย่างไรก็ตามอาหารทางการแพทย์ไม่ได้มีจุดประสงค์ในการรักษาโรคหรือช่วยป้องกันโรคต่างๆได้ แต่เป็นการช่วยป้องกันปัญหาที่เกิดจากโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่หรือช่วยจัดการเกี่ยวกับโรคได้ง่ายขึ้นนั่นเอง และอาหารทางการแพทย์นั้นมีด้วยกันหลากหลายชนิดซึ่งต้องใช้ให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเฉพาะโรคสำหรับ วันนี้อาหารปั่นผสมเราจะมาพูดถึงเรื่องของสูตรอาหารทางการแพทย์ว่ามีกี่ชนิด เพื่อที่จะได้เลือกใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสมมากที่สุด

สำหรับอาหารทางการแพทย์นั้น มีสูตรพิเศษเฉพาะและสามารถใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับผู้ป่วย เพื่อช่วยให้ได้รับสารอาหารที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อโรคโดยมีด้วยกันหลายชนิดคือสูตรอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน สูตรอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการไม่สมบูรณ์ สูตรอาหารสำหรับผู้ที่มีระบบเผาผลาญผิดปกติและสุดท้ายสูตรน้ำที่สามารถให้ทางปาก ซึ่งทั้ง 4 สูตรที่กล่าวมานั้น มีความจำเป็นต่อผู้ป่วยที่มีความแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับโรค


เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนมีความต้องการสารอาหารที่แตกต่างกันและอาหารทางการแพทย์แต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันด้วย จึงไม่ควรซื้ออาหารทางการแพทย์มาใช้เองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพราะร่างกายอาจจะได้รับสารอาหารที่ไม่สมดุล เช่น สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการย่อยและการดูดซึมไขมันได้ไม่ดี ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันย่อยง่ายกว่าเป็นส่วนผสมและโรคบางโรคที่ต้องควบคุมร่างกายไม่ให้ได้รับสารอาหารบางอย่างมากจนเกินไป เช่นโรคไต ที่ต้องจำกัดปริมาณแร่ธาตุหลายตัวเช่น โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส หากผู้ป่วยซื้ออาหารทางการแพทย์มารับประทานเอง อาจจะทำให้เป็นโทษร้ายแรงต่อร่างกายได้ รวมไปถึงเราจะต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมอาหารทางการแพทย์วิธีการชงและปริมาณที่เหมาะสมในแต่ละมื้อโดยนักโภชนาการจะเป็นผู้แนะนำ หากอาหารมีความเข้มข้นที่มากหรือน้อยเกินไป ล้วนมีผลเสียต่อร่างกายทั้งสิ้น ถ้าส่วนผสมเจือจางมากร่างกายอาจได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอแต่ถ้าหากร่างกายรับปริมาณเข้มข้นมากเกินไปอาจทำให้ท้องเสียหรือได้รับสารอาหารบางตัวมากขึ้นความจำเป็นซึ่งก็จะมีผลต่อร่างกายเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้อาหารทางการแพทย์ ถึงแม้จะมีหลายสูตร ให้เลือกทั้งแบบแบบน้ำซึ่ง ในปัจจุบันวิธีการใช้อาหารทางการแพทย์ค่อนข้างสะดวกและง่าย ถ้าเป็นแบบผงก็จะมีวิธีการชงที่ชัดเจนอยู่ข้างกระป๋อง เราควรอ่านฉลากก่อนใช้ โดยขนาดที่บรรจุส่วนใหญ่คือ 400 กรัมและ 1000 กรัม แต่สำหรับน้ำจะบรรจุอยู่ในกระป๋องขนาด 250 – 350 มิลลิลิตรและสามารถเก็บได้โดยไม่ต้องแช่เย็น เปิดรับประทานได้ทันที ทั้งนี้ก่อนใช้ควรได้รับคำแนะนำและวิธีการใช้จากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญหรือนักโภชนาการและควรอ่านได้ละเอียดข้างกระป๋องให้ชัดเจนทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัย


แต่สำหรับผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและสามารถรับประทานอาหารได้เอง เคี้ยวกลืนได้ดี ได้รับสารอาหารหลักครบทั้ง 5 หมู่เป็นประจำและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารทางการแพทย์เพราะการรับประทานอาหารธรรมชาติที่มีคุณภาพดีอยู่แล้ว หรือรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคต่างๆและช่วยลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ยังช่วยทำให้อาหารทำานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ปั่นผสมเราอยากสนับสนุนให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มีคุณภาพและปลอดภัยต่อร่างกาย เพื่อที่จะได้มีร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพดี การรับประทานอาหารถือเป็นปัจจัยหลักของการเกิดโรคต่างๆ


หากไม่ระมัดระวังอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาและผู้ป่วยต้องการอาหารทางการแพทย์หรือประสมทางเรามีบริการ อาหารทางสายยางมีความสะอาดปลอดภัยและได้มาตรฐานมีการควบคุมการผลิตโดยนักโภชนาการที่มีความเชี่ยวชาญจึงทำให้มั่นใจได้ว่ามีความสะอาดปลอดภัยต่อผู้ป่วยมากที่สุด เพราะเราคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยเป็นหลัก เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรับประทานอาหารทางสายยาง

7
เด็กควรงดรับประทานลูกอม ขณะเข้ารับการจัดฟันเด็ก

หากพูดถึงเรื่องปัญหาฟันผุ บางคนอาจนึกถึงความเจ็บปวดที่รุนแรงมากที่ตัวเองมีประสบการณ์มาในอดีต หรือบางคนอาจนึกถึงภาพฟันเป็นรูบิ่นแตก และมีสีดำสกปรก ไม่น่าดู และทำให้เสียบุคลิกภาพมาจนถึงตอนโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งทำให้เสียบุคลิกภาพ มีสุขภาพฟันที่ไม่ดี โดยปัจจัยของการเกิดฟันผุนั้น หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่า การรับประทานลูกอมหรือขนมหวานอาจจะทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะปลูกฝังให้เด็ก งดการรับประทานลูกอม แต่สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคฟันผุ ได้แก่ เชื้อโรคหรือเชื้อจุลินทรีย์ ถึงแม้ว่าจะมีเชื้อในปากอยู่มากมายหลายชนิด แต่มีเชื้อเฉพาะที่เป็นสาเหตุของโรคฟันผุ และพบมีเชื้อชนิดนี้มากในปากของคนที่ฟันผุมาก รวมไปถึงน้ำตาล ซึ่งเป็นอาหารเฉพาะสำหรับเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคฟันผุ จำเป็นสำหรับการดำรงชีพและการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ดังกล่าว ซึ่งเมื่อเชื้อใช้น้ำตาลแล้วจะเปลี่ยนแปลงทางเคมีให้สารสุดท้ายเป็นกรดอินทรีย์ และสามารถทำลายหรือสลายแร่ธาตุของฟันต่อไป ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะต้องใช้เวลานานพอที่การสลายแร่ธาตุของฟันมีการสูญเสียมาก จนเกิดเป็นรูฟันขึ้นอย่างถาวรในที่สุด

ดังนั้น การรับประทานลูกอมในเด็กนั้น จึงเป็นสาเหตุของการเกิดฟันผุได้ง่าย ยิ่งถ้าเด็กได้รับประทานในปริมาณที่มาก และไม่ทำความสะอาดช่องปากและฟันที่ไม่ดีเท่าที่ควรด้วย ก็จะยิ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดฟันผุและปัญหาอื่นๆตามมาได้ในอนาคต ซึ่งโรคฟันผุ พบมากในเด็ก ซึ่งเป้นวัยที่อาจจะยังแปรงฟันได้ไม่ถูกวิธี หรือละเลยการทำความสะอาดช่องปากและฟัน จึงทำให้เกิดฟันผุจนถึงขั้นสูญเสียฟันไปในที่สุด ดังนั้น วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึง การปลูกฝังให้เด็กงดรับประทานลูกอม ในขณะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ซึ่งข้อนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดูแลไม่ให้เด็กรับประทานลูกอม

 การจัดฟันในเด็ก ถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เพราะเด็กในสมัยนี้มีฟันผุมาก เนื่องจากยังไม่เข้าใจวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันที่ถูกต้อง ประกอบกับพ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะละเลยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน จนทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ไม่ดี พ่อแม่หลายคนคิดว่า ฟันน้ำนมของเด็กไม่มีความสำคัญ เพราะคิดว่า ยังไงก็จะมีฟันแท้ขึ้นมาแทนที่อยู่แล้ว แต่ความคิดดังกล่าวถือว่าเป้นความคิดที่ผิดอย่างมาก เพราะฟันน้ำนมของเด็ก มีผลต่อการขึ้นขอองฟันแท้

ถ้าหากฟันน้ำนมหลุดออกก่อนวัยอันควร จะส่งผลให้ฟันแท้ที่กำลังสร้างฐานฟันแท้ไม่สมบูรณ์ จนอาจจะเกิดภาวะฟันแท้หายได้ เนื่องจากฟันแท้ไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ตามธรรมชาติ ดังนั้น การดูแลเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กให้สะอาด ควรเป้นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรที่จะมองข้าม และยิ่งเด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็กด้วยแล้ว การรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน จึงเป้นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งต้องทำความสะอาดให้ดีทุกซอกทุกมุม และในเรื่องของการรับประทานอาหารก็เป็นปัจจัยสำคัญมากเช่นเดียว

นอกจากนี้ การรับประทานลูกอม ขนมหวาน หรือแม้กระทั่งน้ำอัดลม เพราะน้ำตาลที่เด้กรับประทานเข้าไป นอกจากจะใช้เป็นพลังงานในการเจริญเติบโตของเชื้อ และทำปฏิกิริยาทางเคมีให้สารสุดท้ายเป็นกรดอินทรีย์ปล่อยออกมานอกเซลล์ของเชื้อจุลินทรีย์ ไปสลายแร่ธาตุของฟันแล้ว เชื้อจุลินทรีย์จะใช้อีกส่วนหนึ่งของน้ำตาลสร้างเป็นชั้นเมือกเหนียวติดบนตัวฟัน เพื่อให้เป็นที่ยึดเกาะทับถมเพิ่มจำนวนเชื้อบนฟันในรูปของคราบจุลินทรีย์

ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการทำปฏิกิริยาในการทำลายฟันมากขึ้นไปอีก ดังนั้น พ่อแม่ควรให้เด็กที่เข้ารับการจัดฟันในเด็ก งดรับประทานไปเลย เพื่อที่จะเซฟในเรื่องของเครื่องมือ และทำให้สามารถความสะอาดได้อย่างเต็มที่ และให้เด็กงดการรับประทานอาหารที่มีความหวาน ลูกอม หรือน้ำอัดลม ควรให้เด้กรับประทานอาหารว่าง จำพวกผลไม้ดีกว่ารับประทานอาหารที่เป้นโทษต่อฟันของเด็ก เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพฟันและสุขภาพร่างกายที่ดี ให้สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่ มีรอยยยิ้มที่สดใสสมวัยได้

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดฟันในเด็ก และยังมีระสบการณ์ด้านทันตกรรมเด็กมาอย่างยาวนาน พร้อมที่จะให้คำแนะนำและคำปรึกษาสำหรับเด็กที่อยากเข้ารับการจัดฟันในเด็ก เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะเราอยากเด็กมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีฟันที่เรีงตัวกันอย่างสวยงามเป้นธรรมชาติ มีบุคลิกภาพที่สดใสมั่นใจ และมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น

8
เที่ยววัดประดู่ฉิมพลี กราบบารมีหลวงปู่โต๊ะ บูชาพระปิดตา เสริมสิริมงคล

วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพฯ วัดเก่าแก่ในย่านฝั่งธนฯ ที่หลายคนรู้จักกันดีว่าเป็น วัดหลวงปู่โต๊ะ เด่นเรื่องวัตถุมงคล พระปิดตา

           กรุงเทพฯ เมืองหลวงของไทย ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน มีวัดสำคัญตามย่านต่าง ๆ มากมาย ให้เลือกเที่ยวกรุงเทพฯ ได้ตามชอบ ซึ่งถ้าใครได้แวะเวียนไปแถวย่านบางกอกใหญ่ หรือย่านฝั่งธนบุรี คงจะได้ยินชื่อ วัดประดู่ฉิมพลี หรือ วัดหลวงปู่โต๊ะ อดีตเจ้าอาวาสที่มีชื่อเสียง และเป็นพระเกจิอาจารย์โด่งดังผู้สร้างวัตถุมงคล พระเครื่อง พระปิดตา กันมาบ้างแล้ว วันนี้เราจะพาทุกคนไปไหว้พระกรุงเทพฯ กันที่ วัดประดู่ฉิมพลี พร้อมแนะนำเรื่องน่ารู้ต่าง ๆ จะมีอะไรน่าสนใจบ้างไปดูกันได้เลย

วัดประดู่ฉิมพลี ที่ตั้งและประวัติ

           วัดประดู่ฉิมพลี เดิมชื่อ วัดฉิมพลี หรือชาวบ้านเรียกว่า วัดประดู่นอก คู่กับวัดประดู่ใน (วัดประดู่ในทรงธรรม) ตั้งอยู่ที่ 168 ซอยเพชรเกษม 15 ถนนเพชรเกษม แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ เป็นวัดราษฎร์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย สร้างขึ้นในปลายรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และสร้างเสร็จในช่วงต้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

วัดประดู่ฉิมพลี หลวงปู่โต๊ะ

          วัดประดู่ฉิมพลี ถือเป็นวัดเก่าแก่ในย่านฝั่งธนบุรี แต่สิ่งที่ทำให้วัดนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่สานุศิษย์และผู้เลื่อมใสศรัทธาคือ หลวงปู่โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ หรือ พระราชสังวราภิมณฑ์ อดีตเจ้าอาวาส ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่โด่งดังแห่งคลองบางกอกใหญ่ หรือ คลองบางหลวง ย่านฝั่งธนบุรี นั่นเอง

หลวงปู่โต๊ะ เป็นใคร

          พระราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ) หรือ หลวงปู่โต๊ะ เกิดเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2430 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในวัยเด็ก เด็กชายโต๊ะ ได้เข้าเรียนวิชาอยู่ที่วัดเกาะแก้ว ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้บ้านเกิด ต่อมาพระภิกษุแก้วที่ได้เห็นความขยันหมั่นเพียรของเด็กชายโต๊ะ จึงได้พามาฝากอยู่กับพระอธิการสุข เจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลีในสมัยนั้น ให้เรียนหนังสืออยู่ที่วัดประดู่ฉิมพลีเป็นเวลา 4 ปี ก่อนจะได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 17 ปี จนกระทั่งเมื่อมีอายุได้ 20 ปี สามเณรโต๊ะได้เข้าพิธีอุปสมบทและได้รับฉายาทางธรรมว่า อินทสุวัณโณ

          เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่โต๊ะ ได้เรียนศึกษาปฏิบัติคันถธุระ วิปัสสนาธุระ และสอบได้นักธรรมชั้นตรี ต่อมาเมื่อพระอธิการคำมรณภาพ ทางคณะสงฆ์จึงได้แต่งตั้ง หลวงปู่โต๊ะ ให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดประดู่ฉิมพลี สืบต่อมาเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 และได้เป็นภิกษุที่อยู่ในตำแหน่งเจ้าอาวาสยาวนานถึง 68 ปี

          หลวงปู่โต๊ะ เป็นพระภิกษุที่มีศีลวัตรปฏิบัติอันงดงาม กิริยามารยาทงดงาม มีความสุภาพอ่อนโยน มีความเมตตากรุณาต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวพุทธทุกชนชั้น ก่อนที่ท่านจะมรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2524 รวมสิริอายุได้ 93 ปี 73 พรรษา

หลวงปู่โต๊ะ วัตถุมงคล พระเครื่อง พระปิดตา
           พระราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินฺทสุวณฺโณ) หรือ หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นเถราจารย์ที่ผู้คนนับถืออย่างกว้างขวาง มีวัตถุมงคลเอกที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายคือ พระเครื่อง พระปิดตา ซึ่งมีปาฏิหาริย์ศักดิ์สิทธิ์ มีประสบการณ์เล่าขานมากมายจากเหนือจดใต้ทั่วประเทศไทย จนกลายเป็นพระหลักยอดนิยมของเมืองไทย
พระเครื่อง พระปิดตา

วัดประดู่ฉิมพลี มีอะไรบ้าง

    พระอุโบสถ : อาคารก่ออิฐถือปูน กว้าง 13 เมตร ยาว 32 เมตร สร้างตามศิลปะแบบพระราชนิยมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซุ้มประตูหน้าต่างปั้นลายปูนเป็นลายดอกไม้-ใบไม้ บานประตูและหน้าต่างปิดทองประดับกระจกลายยา

อุโบสถ วัดประดู่ฉิมพลี

    หลวงพ่อสุโขทัย พระพุทธสัมพันธมุนี : พระประธาน ประดิษฐานภายในอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 99 นิ้ว มีลักษณะศิลปะสุโขทัย พระพักตร์เอิบอิ่ม ผิวองค์พระดั่งทองคำ มีความงดงามและหาดูได้ยาก

    พระวิหาร : เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน จำนวน 2 หลัง กว้าง 6.10 เมตร ยาว 17.30 เมตร ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตก 1 หลัง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ และด้านทิศตะวันออก 1 หลัง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทับยืน

    เจดีย์กลมทรงรามัญ : เจดีย์กลม แต่ฐานกบบัลลังก์เป็นแปดเหลี่ยม มีบัวประดับที่เชิงระฆังเหนือบัลลังก์ และใต้ปลียอดมีเครื่องประดับดังเช่นเจดีย์รามัญทั่วไป เจดีย์นี้สร้างไว้เหนือเรือนตึกแปดเหลี่ยม มีเสารายและชานโดยรอบ ภายในประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลอง

    ศาลาราชสังวราภิมณฑ์ : อาคารทรงไทย ก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น กว้าง 11 เมตร ยาว 16.50 เมตร เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อเหมือนพระราชสังวราภิมณฑ์ หรือ หลวงปู่โต๊ะ อดีตเจ้าอาวาส

วัดประดู่ฉิมพลี การเดินทาง

           สำหรับคนที่มีรถยนต์ส่วนตัว สามารถตั้ง GPS ไปที่วัดประดู่ฉิมพลี (หลวงปู่โต๊ะ) ได้เลย หรือหากต้องการเดินทางด้วยรถโดยสารสาธารณะ ก็สามารถใช้รถไฟฟ้า BTS ลงที่สถานีตลาดพลู ออกทางออก 3 แล้วต่อรถสองแถวสาย วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ และบางปะกอก ลงที่วัดปากน้ำ (สุดสาย) จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 5 นาที ก็จะถึง วัดประดู่ฉิมพลี

          สายมูทั้งหลาย หรือพุทธศาสนิกชนที่เลื่อมใสศรัทธา ลองหาเวลาว่างในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ไปกราบนมัสการ หลวงปู่โต๊ะ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ที่วัดประดู่ฉิมพลี เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และยังได้สัมผัสถึงความร่มรื่น ร่มเย็น และความเรียบง่ายของวิถีชีวิตชุมชนริมน้ำชาวบางกอกใหญ่กลับไปอีกด้วย เรียกได้ว่าคุ้มค่าและเป็นกำไรชีวิตที่ดีมาก ๆ เลย

9
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


10
บ้านติดรถไฟฟ้า ซิตี้เซนส์ ดอนเมือง - สรงประภา (Citysense Donmueang - Songprapa)
เริ่มต้น 3 ลบ. - 5 ลบ.

ซิตี้เซนส์ ดอนเมือง - สรงประภา (Citysense Donmueang - Songprapa)
พรีเมี่ยมทาวน์โฮม สังคมบ้านเดี่ยว อลังการส่วนกลาง บนทำเลศักยภาพ สะดวกทุกการเดินทางใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม (สถานีดอนเมือง) ใกล้สนามบินดอนเมือง ใกล้ทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ และทางด่วนศรีสมาน

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ              ซิตี้เซนส์ ดอนเมือง - สรงประภา (Citysense Donmueang - Songprapa)
 เจ้าของโครงการ         ปริญสิริ
 แบรนด์ย่อย              ซิตี้เซนส์
 ราคา                      เริ่มต้น 3 ลบ. - 5 ลบ.

 ประเภทบ้าน           ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล          บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ          54 ไร่
 จำนวนบ้าน             498 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด      3 แบบ
  เนื้อที่บ้าน             ตั้งแต่ 17.5 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย           ตั้งแต่ 114 ตร.ม.
 จำนวนชั้น             2 ชั้น
 หน้ากว้าง             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน      โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนที่จอดรถ        2 คัน
 สาธารณูปโภค       สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, อื่นๆ (O? CLUB, Kids room, O? PARK, RING AROUND A TREE, TRAMPOLINE PARK, BASKETBALL COURT OUTDOOR, BIKE LANE)

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน             แจ้งวัฒนะ, หลักสี่, ดอนเมือง, บางเขน
 ที่ตั้ง             สรงประภา 22 แขวง สีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร 10210

 ขนส่งสาธารณะ               ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม, สถานี(บางซื่อ - รังสิต)(ดอนเมือง)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง     
สนามบินดอนเมือง
ตลาดบุญอนันต์
แฮปปี้ อเวนิว ดอนเมือง
โรบินสันศรีสมาน
ศูนย์การค้าไอทีสแควร์
Tesco Lotus แจ้งวัฒนะ
Big C แจ้งวัฒนะ
Makro แจ้งวัฒนะ
ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
โรงเรียนพระหฤทัยดอนเมือง
โรงเรียนสีกัน(วัฒนานันท์อุปถัมภ์)
โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวังนนทบุรี
โรงเรียนเซนต์ฟรังซีสเซเวียร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
มหาวิทยาลัยรังสิต
โรงพยาบาลทหารอากาศ(สีกัน)
โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ
โรงพยาบาลจุฬาภรณ์
โรงพยาบาลแพทย์รังสิต

11
ขายรถป้ายแดง Mitsubishi Triton Mega Cab LR 2.4 Active ปี2024 ราคาพิเศษ

มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Mega Cab LR 2.4 Active ปี 2023
MITSUBISHI TRITON Mega Cab LR 2.4 Active ตัวถังดีไซน์ใหม่! เมกาเฟรม (Mega Frame) ใหญ่ขึ้น และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เครื่องยนต์ 4N16 กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 330 นิวตันเมตร เทอร์โบ

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 1 พ.ย. - 31 ธ.ค. 2567
เงื่อนไข โปรโมชั่น ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.59% ตลอดอายุสัญญา
วารันตี 2ปี

ราคาพิเศษ 484,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์                       Mitsubishi
   รุ่น                            มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Mega Cab LR 2.4 Active ปี 2023
   ประเภทรถ                   รถกระบะ 2 ประตู (แค็บ)
   ปีที่เปิดตัว                   2023


12
สินค้า บริการอื่น ๆ / วีโว่ vivo V29 5G (12GB/256GB)
« เมื่อ: 13 พฤศจิกายน 2024, 20:11:45 pm »
วีโว่ vivo V29 5G (12GB/256GB)
14,999 บาท 

วีโว่ vivo V29 5G (12GB/256GB)
จอที่พิเศษที่สุดสำหรับ vivo V Series หน้าจอโค้ง 3D
เอกลักษณ์พิเศษ Innovative 3D Magnetic Particle
ดีไซน์โฉบเฉี่ยว เพรียวบาง 7.46 มม. 186 กรัม

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น              วีโว่ vivo V29 5G (12GB/256GB)
   ราคากลาง           14,999 บาท
   จำนวนซิม            2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์         จอสัมผัส
   สี                   Black(Noble Black), Red(Magic Maroon), Purple(Starry Purple)
   ความถี่-เครือข่าย
2G
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนักยาว               164.18 x กว้าง 74.37 x หนา 7.46 มม., น้ำหนัก 186 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)   256 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด     -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ       ความจุแบตเตอรี่ 4,600 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ            จอสัมผัส (AMOLED)
   ความละเอียด     6.78 นิ้ว, 1,260 x 2,800 px
   รายละเอียดอื่น

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                 กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (50 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                              -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)            Qualcomm Snapdragon 778G
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)    Adreno 642L
   หน่วยความจำ (RAM)              12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก               USB, Bluetooth, NFC, Wi-Fi
   ระบบรับส่งข้อความ                   -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต            3G, GPRS, WiFi, 4G, 5G

13
อาหารสุขภาพต้านมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยง บำรุงร่างกาย กินได้ทุกวัน

โรคมะเร็งถือเป็นโรคที่ส่งผลกระทบทั้งร่างกายและจิตใจ และเกิดขึ้นได้กับผู้คนนับล้านทั่วโลก แม้ว่าปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของมะเร็ง แต่การใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดี การรับประทานอาหารที่สมดุล จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้


ถึงแม้ว่าไม่มีอาหารชนิดใดที่สามารถรับประกันได้ว่าสามารถป้องกันมะเร็งได้โดยตรง แต่การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่หลากหลายก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้ อาหารที่สมดุลควรทำควบคู่ไปกับวิถีชีวิตที่สมดุล ซึ่งควรมีทั้งการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการหลีกเลี่ยงบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป รวมถึงการพักผ่อนอย่างเพียงพอ ก็สามารถป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ


7 อาหารต้านมะเร็ง


1. ถั่วและเมล็ดพืช

     ถั่วและเมล็ดพืช เช่น อัลมอนด์ วอลนัท และเมล็ดแฟลกซ์ อุดมไปด้วยสารอาหารและสารประกอบที่สำคัญ เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 และไฟโตเคมิคอล สารประกอบเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งบางชนิด รวมถึงการบริโภคธัญพืช เช่น ข้าวกล้อง ควินัว และข้าวโอ๊ต จะให้เส้นใย วิตามิน และแร่ธาตุที่มีส่วนดีต่อสุขภาพ ซึ่งอาหารที่มีกากใยสูงสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ใหญ่


2. ผลเบอร์รี่

     ผลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ และราสเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะแอนโทไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชั่นและการอักเสบ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีส่วนที่เชื่อมโยงกับการเกิดมะเร็ง


3. ปลาที่มีไขมันดี

     ปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ปลาแมคเคอเรล และซาร์ดีน อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ไขมันดีเหล่านี้มีส่วนช่วยในการต้านการอักเสบและอาจมีส่วนในการป้องกันมะเร็งบางชนิด ซึ่งรวมถึงมะเร็งเต้านมและมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วย


4. ชาเขียว

     ชาเขียวมีสารประกอบสำคัญที่ชื่อคาเทชิน ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการป้องกันมะเร็ง และยังมีประโยชน์อย่างมากในการช่วยลดการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระ คุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็งของชาเขียว คือการเข้าไปยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งและป้องกันการแพร่กระจายของเนื้องอก


5. กระเทียม

     กระเทียมมีสารอัลลิซินซึ่งเป็นสารประกอบที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็ง การศึกษาพบว่ากระเทียมอาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิด ซึ่งรวมถึงมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่


6. ผักใบเขียว

     ผักใบเขียวและผักตระกูลกะหล่ำ เช่น ผักโขม ผักคะน้า บรอกโคลี กะหล่ำดอก และกะหล่ำดาว อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีคลอโรฟิลล์ซึ่งมีคุณสมบัติในการล้างพิษและอาจช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ ผักตระกูลกะหล่ำ ยังอุดมไปด้วยสารประกอบ เช่น ซัลโฟราเฟน ซึ่งสารประกอบเหล่านี้มีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง โดยช่วยกระตุ้นให้เกิดการล้างพิษของสารก่อมะเร็งและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้


7. มะเขือเทศ

     มะเขือเทศเป็นอาหารที่มีไลโคปีนสูง ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพและมีความสัมพันธ์กับการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเขือเทศปรุงสุกช่วยเพิ่มประโยชน์ของไลโคปีนได้มากกว่ามะเขือเทศที่ยังไม่ผ่านการทำให้สุก

14
mobile expo 2024: Acer Swift 14 AI โน้ตบุ๊ก Copilot+ PC รุ่นแรกจากเอเซอร์

Acer เปิดตัว Swift 14 AI โน้ตบุ๊ก Copilot+ PC เครื่องแรกจากเอเซอร์ โดยร่วมกับ Microsoft และ Qualcomm Technologies, Inc. พร้อมเปิดประสบการณ์การใช้งานกับความสามารถด้าน AI บนระบบปฏิบัติการ Windows 11. Acer Swift 14 AI มีหลายรุ่นให้เลือกใช้งาน ด้วยแพลตฟอร์ม Snapdragon X Elite และ Snapdragon X Plus ที่มี NPU ที่เร็วที่สุดในโลกสำหรับโน้ตบุ๊ก ที่ช่วยประมวลผลของ AI ผู้ใช้งานสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นด้วยฟังก์ชัน PC ที่ฉลาดขึ้น และจัดการงานที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“Acer Swift 14 AI รองรับ AI ทั้งภายในจนถึงภายนอกของเครื่อง เป็นรุ่นแรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Acer Copilot+ PC ที่จะทยอยเปิดตัว โน้ตบุ๊ก AI รุ่นใหม่นี้มาพร้อมพลังประมวลผล AI ซึ่งจะช่วยปลดล็อกประสบการณ์การใช้งานรูปแบบใหม่ๆ ที่ผู้ใช้จะต้องชื่นชอบ” Jerry Kao ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ, เอเซอร์ อิงค์ กล่าว

ไมโครซอฟท์ มีความยินดีและตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับ Acer ในการนำเสนอเทคโนโลยี AI กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ PC ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows ตั้งแต่เครื่องอัลตร้าบุ๊ก ไปจนถึงเกมมิ่งโน้ตบุ๊กที่ทรงพลัง ความร่วมมือของเรามีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำเสนอคอมพิวเตอร์ที่เปี่ยมประสิทธิภาพ ปลอดภัยและตอบสนองความต้องการกับกลุ่มลูกค้าหลากหลาย แต่ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพ และราคาที่เหมาะสม ช่วยให้เทคโนโลยีเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ควบคู่ไปกับการมุ่งเน้นด้านความยั่งยืน. การเปิดตัว Acer Swift 14 AI โน้ตบุ๊ก Copilot+ PC ของ Acer จะช่วยสร้างประสบการณ์ AI รูปแบบใหม่ให้กับผู้ใช้งาน พร้อมประโยชน์จาก AI ในตัวเครื่องและระบบคลาวด์ เพื่อช่วยให้การทำงานของบุคคลและองค์กรประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น” Mark Linton รองประธานฝ่ายขายอุปกรณ์พันธมิตร, ไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชั่น กล่าว
“Acer Swift 14 AI เป็นโน้ตบุ๊กที่น่าทึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลัง ประสิทธิภาพและความสามารถด้านอัจฉริยะของแพลตฟอร์ม Snapdragon X Elite ขับเคลื่อนด้วย NPU สำหรับโน้ตบุ๊กที่เร็วที่สุดในโลก และคอร์ CPU ประสิทธิภาพสูง พร้อมมอบประสบการณ์ AI ที่ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ Acer Swift 14 AI เป็นผู้เปลี่ยนโลกของโน้ตบุ๊กที่รองรับ AI” Kedar Kondap, รองประธานอาวุโสและผู้จัดการทั่วไปด้านคอมพิวเตอร์และการเล่นเกม, บริษัท ควอลคอมม์ เทคโนโลยีส์ อิงค์ กล่าว

แพลตฟอร์ม Snapdragon X Series: ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานให้กับ AI PC ในรุ่นต่อไป
Snapdragon® X Series ออกแบบมาเพื่อรองรับ AI เป็นโปรเซสเซอร์ที่ทรงพลัง และประหยัดพลังงานที่สุดบนระบบปฏิบัติการ Windows. Acer Swift 14 AI รุ่นใหม่พร้อมขับเคลื่อนด้วย Snapdragon X Elite ที่มีคอร์ CPU ประสิทธิภาพสูง 12 คอร์บนกระบวนการผลิต 4 nm, GPU Qualcomm Adreno™ 3.8 TFLOPS และ NPU Qualcomm Hexagon™ 45 TOPS หน่วยความจำ LPDDR5X-8533 สูงสุด 32 GB และ SSD NVMe PCIe Gen 4 สูงสุด 1 TB เพิ่มประสิทธิภาพและรองรับการทำงานมัลติทาสก์ที่ต้องใช้การประมวลผลสูง เพื่อสร้างสรรค์งาน และตอบสนองทุกความบันเทิง. นอกจากนี้ยังรองรับแอปฯ ระดับพรีเมียมนับ 100 รายการ ที่ได้รับการพัฒนาให้เหมาะกับเทคโนโลยี Arm, โปรเซสเซอร์ Snapdragon X Elite และ Snapdragon X Plus ช่วยยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ทำงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
เริ่มต้นยุคใหม่ของ AI ด้วย Copilot+ PCs

Acer Swift 14 AI รุ่นใหม่นี้ได้รับการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพ AI ตอบโจทย์การใช้งาน การสร้างสรรค์งาน ทำให้เกิดประสบการณ์การใช้งานในรูปแบบใหม่
ReCall ผู้ใช้สามารถค้นหาสิ่งต่างๆ เพียงแค่ระบุรายละเอียดที่มี หรือข้อมูลที่ได้ ด้วยประวัติการใช้งานที่ผ่านมา ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงแอปพลิเคชัน เอกสาร หรือข้อความที่เคยค้นหาก่อนหน้านี้ได้อย่างง่ายดาย .

Live Captions พร้อมระบบ Live Translations ช่วยสร้างคำบรรยายอัตโนมัติจากเสียงพูดหรือจากคลิปวิดิโอ ช่วยแปลภาษาแบบเรียลไทม์ รองรับได้ถึง 44 ภาษา และสามารถแปลเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษได้อีกด้วย

ปลดปล่อยจิตนาการอย่างไร้ขีดจำกัดด้วย Cocreator ที่ใช้งานผ่านทางคำสั่งหรือรูปภาพในการสร้างสรรค์ผลงานด้วย AI. Auto Super Resolution จะช่วยเพิ่มความละเอียดและอัตราการรีเฟรชเฟรมของเกมได้สมจริงเพื่อให้ผู้เล่นได้เห็นภาพที่สวยงาม คมชัด. Windows Studio Effects ช่วยปรับแสงและตัดเสียงรบกวนโดยอัตโนมัติ และยังสามารถเปิดใช้งาน three artistic filters บนแพลตฟอร์มวิดีโอใดก็ได้ ผ่านทาง Quick settings ช่วยให้ผู้ใช้งานเปิดเผยตนเองในรูปแบบหรือลักษณะที่สร้างสรรค์ได้ในระหว่างการวิดีโอคอล และ Copilot ผู้ช่วย AI สำหรับการใช้งานเป็นประจำ สามารถเข้าถึงได้รวดเร็วและง่ายดายเพียงแค่คลิกที่ปุ่ม Copilot

ดีไซน์และฟีเจอร์ระดับพรีเมี่ยม
เพื่อตอบสนองทุกความต้องการในใช้งาน  Acer Swift 14 AI มีดีไซน์ที่เฉพาะสำหรับ Copilot+ PC ตัวเครื่องบางเบาผลิตจากอลูมิเนียม มีไอคอน AI ที่โดดเด่นบนฝาเครื่อง พร้อมไฟแสดงสถานะ Activity Indicator บนทัชแพดที่จะสว่างขึ้นเมื่อเปิดใช้งาน  หรือบนปุ้มกด Copilot, จอแสดงผล IPS 14.5”  WQXGA (2560x1600) อัตราการรีเฟรช 120 Hz และรองรับสี 100% sRGB และยังมีตัวเลือกหน้าจอทัชสกรีนแบบ edge-to-edge พร้อมการรับรอง TÜV Rheinland Eyesafe® Certification 2.0 เพื่อช่วยลดผลกระทบของแสงสีน้ำเงินที่เป็นอันตรายแต่ยังคงไว้ซึ่งความแม่นยำของสี การออกแบบบานพับ 180 องศาให้ความยืดหยุ่นในโหมดการใช้งานที่แตกต่าง และสามารถเปิดปิดเครื่องได้ด้วยมือเดียว

เว็บแคม IR ความละเอียด 1440p QHD พร้อมไมโครโฟนสามตัว และ privacy shutter จากเอเซอร์ เพื่อรองรับการประชุม ช่วยเสริมประสิทธิภาพด้วย AI ใน Acer PurifiedView™ 2.0 และ Acer PurifiedVoice™ 2.0 ที่ผู้ใช้งานจะมั่นใจได้ว่าการตลอดเวลาการใช้งานคุณภาพของเสียงจะดีเสมอ โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วด้วย Acer QuickPanel ที่จะปรากฎขึ้นอัตโนมัติเมื่อเว็บแคมหรือไมโครโฟนถูกเปิดใช้งาน และปุ่มที่มีไว้สำหรับการใช้งานเฉพาะนี้จะนำผู้ใช้ไปยังแอป  AcerSense™ ที่ได้รับรางวัล Red Dot Design Award สำหรับการจัดการอุปกรณ์และคลังฟีเจอร์ AI ที่มีในอุปกรณ์ผ่าน Experience Zone"

Acer Swift 14 AI โน้ตบุ๊ก Copilot+ PC มาพร้อมกับ Windows Hello ที่รองรับการเข้าสู่ระบบด้วยการจดจำลายนิ้วมือและใบหน้าเพื่อการเข้าถึงที่รวดเร็วและปลอดภัย. “ความยั่งยืน” ยังเป็นหลักสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ของเอเซอร์ ตัวเครื่องของ Acer Swift 14 AI ผลิตด้วยพลาสติก PCR บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสามารถรีไซเคิลได้ 100% และได้รับการรับรองมาตรฐาน EPEAT Gold ในด้านการเชื่อมต่อรองรับ Wi-Fi 7 และ Bluetooth™ 5.4 ให้ความเร็วสูงถึง 5.8 Gbps ความหน่วยต่ำกว่า 2 ms พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อทั้ง USB Type-C 2 พอร์ต และ USB 3.2 Type-A 2 พอร์ต รองรับการใช้งานที่ยืดหยุ่น

ราคาและการวางจำหน่าย
Acer Swift 14 AI (SF14-11) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในเดือนกรกฎาคม ราคาเริ่มต้นที่ 1,099 USD และในภูมิภาค EMEA (ยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา) ราคาเริ่มต้นที่ 1,499 EUR.
รายละเอียดสเปก ราคา และการวางจำหน่ายอาจแตกต่างกันตามภูมิภาค. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางจำหน่าย ข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ และราคาได้ที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้คุณ
เข้าชม Acer’s Media Center สำหรับภาพผลิตภัณฑ์ สเปคและข้อมูลต่างๆ หรือ Acer Press Room เพื่อติดตามข่าวสารทั้งหมดจากเอเซอร์

15
ขายรถป้ายแดง Volvo V60 Plus Dark รถไมล์น้อย พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ

วอลโว่ Volvo V60 Recharge Plus T8 Plug-in Hybrid Dark ปี 2023
Volvo V60 Recharge Plus T8 Plug-in Hybrid Dark ไฟหน้าแบบ LED รูปทรง T-shape Full-LED Active High Beam Illumination Active Bending Light ปรับตามบุคลิกของแต่ละคน ซึ่งระบบจะตั้งค่าเครื่องยนต์ เกียร์อัตโนมัติ พวงมาลัย เบรก ระบบควบคุมการทรงตัว และฟังก์ชั่นการเปิด/ปิดเครื่องยนต์ โหมดเหล่านี้ได้แก่ Comfort, Dynamic และ Eco รวมทั้งโหมด Individual มาพร้อมระบบ กล้อง 360 , Park Assist Pilot ระบบเสียงจาก High Performance Sound  ลำโพง 11 ตัว ระบบปรับระดับเสียงอัตโนมัติหรือ Automatic Level Adjustment และอัลกอริทึมพิเศษจะปรับระดับเสียงที่ส่งออกมาเพื่อชดเชยและกลบเสียงรบกวนจากภายนอก รองรับ Apple CarPlay ให้คุณเชื่อมต่อกับ iPhone นอกจากนี้ยังรองรับ Android Auto รวมถึงสามารถทำระยะทางวิ่งสูงสุดด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยยนแปลง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 13 ก.ย. - 31 ต.ค. 2567
ฟรีประกันภัยชั้น 1 + VPSP Pro + MW

ราคาพิเศษ 2,090,000 บาท

สนใจสอบถามรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

รายละเอียดเบื้องต้น

   แบรนด์              Volvo
   รุ่น                  วอลโว่ Volvo V60 Recharge Plus T8 Plug-in Hybrid Dark ปี 2023
   ประเภทรถ         รถเก๋งแวน/เอสเตท, รถไฮบริด
   ปีที่เปิดตัว          2023


หน้า: [1] 2 3 ... 20
ลงประกาศฟรี ติดอันดับ Google โฆษณาฟรี ประกาศฟรี ขายฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว ลงโฆษณาฟรี google