แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 41
1
จัดฟันบางนา: วิธีการดูแล หลังจากการปลูกกระดูกฟัน !

การรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม ถือเป็นการรักษาที่ได้รบความนิยมมากที่สุด สำหรับการแก้ไขปัญหาในเรื่องของการทดแทนฟันธรรมชาติ ซึ่งวิธีการรักษานั้น ถือว่าเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นวิธีการที่ได้ผลดีและมีการใช้งานมีเสมือนฟันธรรมชาติมาก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในการรักษาด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้ารับการรักษาได้ ก่อนที่ผู้เข้ารับการรักษาจะเข้ารับการฝังรากฟันเทียมนั้นจะต้องเข้ารับคำปรึกษาจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน เพื่อตรวจสภาพช่องปากและให้ข้อมูลเบื้องต้นก่อนเข้ารับการรักษา


เพื่อที่ทันตแพทย์จะได้ประเมินว่า ผู้เข้ารับการรักษาสามารถเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทยมได้หรือไม่ หรือควรที่จะเข้ารับการฝังรากฟันเทียมในจุดใดบ้าง และจุดบริเวณที่จะต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมมีกระดูกขากรรไกรที่สามารถรองรับรากฟันเทียมได้หรือไม่ เพราะจุดที่สูญเสียฟันธรรมชาติไปนั้น โดยปกติแล้ว ฟันเราจะฝังอยู่ในกระดูกเบ้าฟัน ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่มีการถอนฟันหรือเกิดการสูญเสียฟันธรรมชาติไปเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม กระดูกจะมีการสลายเกิดขึ้น และหากปล่อยไว้นานๆ กระดูกบริเวณที่ถอนฟันไปแล้วนั้น จะฝ่อตัวหรือยุบตัวลงไปเรื่อยๆ และจะต้องทำการปลูกกระดูกฟันก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียม เพื่อให้ผลการรักษามีอัตราความสำเร็จมากขึ้น รวมไปถึงป้องกันการเกิดปัญหาเกี่ยวกับรากฟันเทียมและปัญหาสุขภาพช่องปากในระยะยาว

การปลูกกระดูกฟันนั้นมีการนำกระดูกหลายชนิดเพื่อนำมาใช้ปลูกถ่ายในกระดูกขากรรไกร ขึ้นอยู่ทันตแพทย์ว่าจะใช้กระดูกชนิดใดให้กับผู้เข้ารับการรักษา แต่กระดูกของผู้เข้ารับการรักษาเอง ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะเป็นกระดูกจากผู้เข้ารับการรักษาเอง ซึ่งสามารถเข้ากับเนื้อเยื่อของผู้เข้ารับการรักษาได้ดีอยู่แล้ว และยังป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งปลอดภัยมากสำหรับผู้เข้ารับการรักษา ซึ่งการปลูกกระดูกฟันนั้น สามารถทำการฝังรากฟันเทียมพร้อมกันได้เลยทันที


แต่ในกรณีที่ผู้เข้ารับการรักษามีการปลูกกระดูกฟันที่จำนวนไม่มากนัก แต่ในกรณีอื่นๆนั้น ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องมีการพักฟื้น เพื่อทำให้กระดูกมีความแข็งแรง มีความพร้อมที่จะเข้ารับการฝังรากฟันเทียม ซึ่งวิธีการดูแลรักษาและการปฏิบัติตัว ภายหลังจากการปลูกกระดูกฟัน ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องทำตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดเช่นกัน เพื่อป้องกันการเกิดการติดเชื้อ หรืออักเสบบริเวณบาดแผลภายในช่องปาก ภายหลังจากการผ่าตัดปลูกกระดูกฟัน ผู้เข้ารับการรักษาควรรับประทานอาหารเหลวหรืออาหารอ่อน ไม่ดูดหลอดจนแผลที่ได้จากการผ่าตัดจะหายดี ภายใน 24 ชั่วโมงแรกภายหลังการผ่าตัด ในขณะที่ผู้เข้ารับการรักษายังพักฟื้นอยู่ ผู้เข้ารับการรักษาสามารถดื่มน้ำและอาหารเหลวได้ตามปกติ และลุกปัสสาวะได้ปกติ แต่ควรระมัดระวังการกระทบกระเทือนถึงบาดแผลจากการผ่าตัดด้วย


ในบางกรณีผู้เข้ารับการรักษาบางรายอาจจำเป็นต้องพักในโรงพยาบาลมากกว่า 1 วัน เพราะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด และผู้ป่วยต้องดูแลรักษาความสะอาดภายในช่องปากอย่างดีด้วย
ผู้เข้ารับการรักษาจะได้รับยาระงับปวดเพื่อลดอาการปวดแผลผ่าตัด โดยมากมักเป็นยาที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป ซึ่งการดูแลตัวเองภายหลังจากการผ่าตัดปลูกกระดูกฟันนั้น ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องดูแลตัวเองให้ดีเป็นพิเศษ ระมัดระวังเรื่องของรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ในขณะที่บาดแผลยังไม่สมานตัว


รวมไปถึงในระยะเวลาช่วยของการพักฟื้นภายหลังจากการรักษาด้วยการผ่าตัดฝังรากฟันเทียมด้วย รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ก็ควรที่หลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด เพราะแอลกอฮอล์จะทำให้แผลหายช้า และทำให้เลือดไหลไม่หยุด ทั้งยังส่งผลต่อรากฟันเทียมและบาดแผลภายหลังจากการผ่าตัดมาก เพราะฉะนั้นผู้เข้ารับการรักษาควรจะงดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการอักเสบหรือการติดเชื้อภายหลังจากการผ่าตัดทั้งการปลูกกระดูกและการฝังรากฟันเทียมด้วย

2
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


3
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ผมร่วงจากซิฟิลิส (ระยะที่ 2)

ผู้ที่เป็นโรคซิฟิลิส ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งอาจมีอาการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ อาการผมร่วงพบในระยะที่ 2 ของโรค (ดู "โรคซิฟิลิส" เพิ่มเติม)


สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อซิฟิลิสซึ่งติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่


อาการ

อาการผมร่วง อาจเป็นอาการแสดงออกของผู้ป่วยซิฟิลิสในระยะที่ 2 ผู้ป่วยอาจมีอาการเป็นไข้หนาว ๆ ร้อน ๆ ปวดเมื่อยตามตัว หรือมีผื่นขึ้นทั่วตัวร่วมด้วย ส่วนอาการผมร่วง อาจร่วงเป็นกระจุก ๆ เวลาหวีผม และจำนวนที่ร่วงในแต่ละวันมากกว่าปกติ (ปกติไม่ควรร่วงเกินวันละ 100 เส้น) ลักษณะของหนังศีรษะบริเวณที่มีผมร่วง อาจดูคล้ายถูกแมลงแทะเป็นหย่อม ๆ แต่บางรายอาจมีผมร่วงทั่วศีรษะก็ได้ มักจะพบมีเส้นผมตกตามหมอนและที่นอน และถ้าใช้มือดึงเส้นผมเบา ๆ ก็จะมีเส้นผมหลุดติดมือมาง่ายกว่าปกติ

ผู้ป่วยมักมีประวัติเที่ยวผู้หญิง หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้มาก่อน และก่อนหน้าที่จะมีอาการผมร่วงเพียงไม่กี่เดือนหรือไม่กี่สัปดาห์ อาจมีแผลขึ้นที่อวัยวะเพศ (ซิฟิลิสระยะแรก) แต่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง


ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่รักษาก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคซิฟิลิสตามมา


การวินิจฉัย

แพทย์จะทำการตรวจเลือดหาวีดีอาร์แอล (VDRL)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การรักษาแบบซิฟิลิสระยะที่ 2 โดยให้ยาปฏิชีวนะ (ดู "โรคซิฟิลิส" เพิ่มเติม)

ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องมักทำให้กลายเป็นซิฟิลิสระยะที่ 3 ซึ่งเป็นอันตรายได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัยควรปรึกษาแพทย์ 

เมื่อตรวจพบว่าเป็นซิฟิลิส ควรรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

การป้องกัน

4
หมอออนไลน์: ดียูบี (Dysfunctional uterine bleeding/DUB)

ดียูบี เป็นภาวะที่มีเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกที่ไม่มีพยาธิสภาพเฉพาะที่ตรวจพบ เช่น เนื้องอก หรือการอักเสบของมดลูกหรือการตั้งครรภ์

พบได้ในผู้หญิงทุกวัย แต่จะพบมากในระยะเข้าสู่วัยสาวขณะที่มีประจำเดือนครั้งแรก และในระยะวัยกลางคน เมื่อใกล้จะหมดประจำเดือนอย่างถาวร

เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของภาวะมีเลือดออกทางช่องคลอดมากหรือนานผิดปกติ


สาเหตุ

เกิดจากการเสียสมดุลระหว่างฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่ เอสโทรเจน (estrogen) และโพรเจสเทอโรน (progesterone) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ทำให้มีเอสโทรเจนในร่างกายสูงกว่าปกติ ซึ่งเป็นเหตุให้เยื่อบุมดลูกหนาตัวขึ้น แล้วทำให้มีเลือดออกจากโพรงมดลูกผิดปกติตามมา มักพบในผู้หญิงที่มีรอบเดือนที่ไม่มีการตกไข่ (anovulatory cycle)

อาการ

ผู้ป่วยจะมีเลือดคล้ายเลือดประจำเดือนออกมาก หรือกะปริดกะปรอยนานเป็นสัปดาห์ ๆ โดยมากจะไม่มีอาการปวดท้องร่วมด้วย เลือดอาจออกมากจนผู้ป่วยซีด อ่อนเพลีย

บางรายอาจมีประวัติประจำเดือนขาดนำมาก่อนสัก 2-3 เดือน

ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือด

ในรายที่มีเลือดออกมากและเร็ว อาจเกิดภาวะช็อก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการขั้นต้น

การตรวจร่างกายมักตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน

ในรายที่มีเลือดออกมาก อาจตรวจพบภาวะซีด

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจภายในช่องคลอด อาจต้องตรวจเลือด (ประเมินภาวะซีด และการแข็งตัวของเลือด) ตรวจปัสสาวะ (ดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่) การตรวจอัลตราซาวนด์ผ่านทางช่องคลอด (transvaginal ultrasonography) เพื่อดูว่ามีการหนาตัวของเยื่อบุมดลูกหรือไม่ และอาจต้องตรวจพิเศษอื่น ๆ ถ้าสงสัยมีพยาธิสภาพในโพรงมดลูก เช่น ตรวจชิ้นเนื้อในรายที่สงสัยเป็นมะเร็งเยื่อบุมดลูก ในผู้ป่วยอายุมากกว่า 35 ปี


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ในรายที่มีเลือดออกน้อย ไม่ซีดหรือซีดเล็กน้อย และยังทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แพทย์จะให้ยาบำรุงโลหิต และอาจให้ยาฮอร์โมนในรายที่มีภาวะซีด เพื่อควบคุมให้เลือดออกน้อยลง

2. ในรายที่มีเลือดออกปานกลาง มีภาวะซีดเล็กน้อย แต่ยังรู้สึกตัวดี ความดันโลหิตและชีพจรเป็นปกติ แพทย์จะให้ฮอร์โมนบำบัด และให้ยาบำรุงโลหิต

3. ในรายที่มีเลือดออกมาก มีภาวะซีดมาก หรือมีชีพจรเต้นเร็ว หรือภาวะช็อก แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้เลือดในรายที่เสียเลือดมาก และให้ยาฮอร์โมนเพื่อควบคุมภาวะเลือดออก

4. ถ้าให้ยาฮอร์โมนแล้วเลือดไม่หยุด (ปกติควรจะหยุดภายใน 24 ชั่วโมง หรือภายใน 2-3 วัน) หรือพบในผู้ป่วยอายุมากกว่า 35 ปี แพทย์อาจทำการขูดมดลูก และทำการตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นมะเร็งโพรงมดลูก ในบางรายแพทย์อาจใช้กล้องส่องตรวจโพรงมดลูก (hysteroscopy) เพื่อตรวจพยาธิสภาพในโพรงมดลูก

การขูดมดลูกจะช่วยให้เลือดหยุดได้ หลังจากนั้นจำเป็นต้องให้กินยาเม็ดคุมกำเนิดนานอย่างน้อย 3-6 เดือน
เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาฮอร์โมนหรือมีความผิดปกติของโพรงมดลูก (เช่น เนื้องอกมดลูก มะเร็งมดลูก) ก็จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดมดลูก


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีเลือดคล้ายเลือดประจำเดือนออกมาก หรือกะปริดกะปรอยนานเป็นสัปดาห์ ๆ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นดียูบี ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หรือหน้าตาซีดกว่าปกติ
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรหาทางป้องกันไม่ให้โรคกลายเป็นรุนแรงด้วยการดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง

ข้อแนะนำ

ผู้ป่วยที่มีเลือดประจำเดือนออกมากหรือกะปริดกะปรอย อาจมีสาเหตุจากดียูบี ซึ่งมักไม่มีอันตรายร้ายแรง (นอกจากทำให้เสียเลือด) และสาเหตุจากความผิดปกติของมดลูก เช่น เนื้องอกมดลูก มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น ซึ่งมักพบในผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปี รวมทั้งภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น ครรภ์นอกมดลูก แท้งบุตร เป็นต้น ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุให้แน่ชัด

5
คำถามยอดนิยม การจัดฟันเด็ก แพงหรือไม่ ?

การเข้ารับการจัดฟัน เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างฟัน และลักษณะของฟันที่มีการขึ้นแบบผิดปกติจะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ยากขึ้น เช่นเดียวกันกับเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันก็จะทำให้รู้สึกไม่มั่นใจและรับประทานอาหารได้ไม่เต็มที่ ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมในวัยเด็กที่ส่งผลทำให้การขึ้นของฟันแท้มีความผิดปกติบวกกับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร


เนื่องจากเด็กมักชอบรับประทานอาหารที่มีรสหวานหรือเครื่องดื่มที่มี ส่วนผสมของน้ำตาลเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย ดังนั้น การทำความสะอาดช่องปากและฟันของเด็ก ถือเป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรช่วยกันดูแลให้บุตรหลานของท่านรู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธีตั้งแต่อายุยังน้อยหรือตั้งแต่ยังมีฟันน้ำนม ซึ่งฟันน้ำนมนั้น เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการขึ้นของฟันแท้ เพราะฉะนั้น การดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อยของท่าน ควรได้รับการดูแลตั้งแต่ช่วงฟันน้ำนมเพราะถ้าหากเด็กได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันก็จะทำให้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ป้องกันการเกิดฟันผุและโรคเหงือกอักเสบที่อาจจะตามมาได้ในอนาคต  ในปัจจุบัน

พ่อแม่ผู้ปกครองเริ่มหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพฟันของเด็กประกอบกับได้มีการจัดฟันในเด็กซึ่งถือเป็นนวัตกรรมในวงการทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากเช่นเดียวกัน เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันของเด็กได้ตั้งแต่อายุ 12 -15 ปี และยังมีการจัดฟันในเด็กที่เรียกว่าการจัดฟัน EF LINE ซึ่งการจัดฟันในรูปแบบนี้สามารถรักษาปัญหาฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปีเลยทีเดียว ซึ่งต้องบอกว่าวงการทันตกรรมของเราในปัจจุบันถือว่า ก้าวหน้าไปมากทำให้ปัญหาต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดมีความสนใจที่จะให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่ก็มีข้อกังวลนั่นก็คือในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการจัดฟันในเด็ก หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าการจัดฟันในเด็กนั้นจะต้อง มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงค่าใช้จ่ายในเรื่องของการจัดฟันในเด็กเพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดและได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพด้วย


สำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายในการจัดฟันในเด็ก คือสิ่งแรกที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน อยากจะทราบซึ่งในประเทศไทยของเราถ้าจัดฟันในเด็กจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 50,000 บาท แต่ราคาก็จะขึ้นอยู่กับคลินิกทันตกรรมด้วย ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีความแตกต่างกันรวมไปถึงจะขึ้นอยู่กับปัญหาของฟันของเด็กด้วย แต่ในข้อนี้ก็ไม่ต้องกังวลเพราะค่าจัดฟันในเด็กจะเป็นการทยอยจ่ายเช่นเดียวกับการจัดฟันในผู้ใหญ่ แต่การจัดฟันในเด็กก็อาจจะมีรายละเอียดของเครื่องมือบางชนิดที่มีความแตกต่างจากการจัดฟันในผู้ใหญ่ ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากปัญหาในช่องปากและฟันของเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ยิ่งถ้าเด็กบางคนมีปัญหาของขากรรไกรร่วมด้วย การรักษาก็จะยุ่งยากซับซ้อนมากยิ่งขึ้นอาจจะต้องใช้เครื่องมือแบบพิเศษซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าปกตินั่นเอง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน เราสามารถปรึกษากับทางคลินิกได้


สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกของเรา ทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมของเด็กมาอย่างยาวนาน ทั้งยัง มีเจ้าหน้าที่ที่คอยให้คำปรึกษาและแนะนำในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน ซึ่งต้องบอกว่า พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ต้องกังวล เพราะท่านสามารถวางแผนในเรื่องของค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับตัวเองได้ เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง มีรอยยิ้มที่สดใส และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

6
ของขวัญวันเกิดแม่งบน้อย มีอะไรบ้าง

เมื่อมีงบน้อย การเลือกของขวัญวันเกิดก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้ถูกใจผู้รับมากที่สุด ลองดูไอเดียเหล่านี้ที่เน้นคุณค่าทางใจและใช้งานได้จริงค่ะ


1. ของขวัญที่ทำเอง (DIY)

ของขวัญทำมือเป็นของขวัญที่มีคุณค่าทางใจสูงที่สุด เพราะแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจและเวลาที่คุณทุ่มเทให้ เช่น

การ์ดทำมือ: เขียนข้อความจากใจจริงลงในการ์ดที่ทำเอง

ขนมโฮมเมด: เช่น คุกกี้ บราวนี่ หรือเค้กขนาดเล็กที่ทำด้วยตัวเอง

อัลบั้มรูป: รวบรวมรูปภาพความทรงจำดีๆ ของคุณกับผู้รับ


2. ของขวัญที่ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน

แก้วน้ำเก็บความเย็น: เป็นของขวัญที่ใช้ได้ทุกวันและมีประโยชน์มาก

สมุดโน้ตและปากกา: สำหรับคนชอบจดบันทึกหรือวางแผน

เทียนหอมหรือสเปรย์ปรับอากาศ: ช่วยสร้างบรรยากาศดีๆ ให้กับห้องนอนหรือที่ทำงาน


3. ของขวัญประเภท "ประสบการณ์"

แม้จะเป็นงบน้อย แต่ก็สามารถมอบประสบการณ์ที่ดีให้กันได้ เช่น

ทำอาหารให้กัน: ชวนกันทำอาหารเมนูโปรด แล้วรับประทานด้วยกันที่บ้าน

ชวนดูหนังที่บ้าน: จัดห้องให้เหมือนโรงหนัง พร้อมป๊อปคอร์นและเครื่องดื่ม

จัดปิกนิกในสวนสาธารณะ: เตรียมแซนด์วิชและเครื่องดื่มไปนั่งชิลล์ๆ พูดคุยกัน


4. ของขวัญที่เน้นความชอบของผู้รับ

หนังสือ: ถ้าผู้รับชอบอ่านหนังสือ การซื้อหนังสือเล่มใหม่ที่เขาสนใจก็เป็นตัวเลือกที่ดี

ต้นไม้เล็กๆ: สำหรับคนรักธรรมชาติ เป็นของขวัญที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่มอง

พวงกุญแจ: เลือกพวงกุญแจที่มีดีไซน์น่ารักหรือเป็นรูปตัวการ์ตูนที่ผู้รับชอบ

หัวใจสำคัญของการให้ของขวัญงบน้อยคือการแสดงออกถึงความใส่ใจและความปรารถนาดีค่ะ

7
สร้างรายได้ จากการสตรีมสดเชื่อมต่อกับผู้ชมส่งผลให้เกิดความไว้วางใจ กลยุทธ์ขั้นสูงสุดสำหรับการตลาดออนไลน์ยุคใหม่

การก้าวไปข้างหน้าในเกมการตลาดนั้นต้องอาศัยการนำกลยุทธ์ใหม่ๆ มาใช้เพื่อดึงดูดและดึงดูดผู้ชม การถ่ายทอดสดเป็นกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันสำหรับการตลาดออนไลน์ด้วยการเติบโตของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและความต้องการเนื้อหาที่มีความน่าเชื่อถือที่เพิ่มมากขึ้น การถ่ายทอดสดจึงกลายเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับธุรกิจทุกขนาด

Live Streaming คืออะไร?
การสตรีมสดคือการถ่ายทอดเนื้อหาวิดีโอแบบเรียลไทม์ให้ผู้ชมออนไลน์ได้รับชม ช่วยให้แบรนด์และบุคคลต่างๆ สามารถแชร์กิจกรรม การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เซสชันถาม-ตอบ บทช่วยสอน และอื่นๆ โดยตรงกับผู้ติดตามได้ แพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Facebook Live, Instagram Live, YouTube และ TikTok ทำให้การสตรีมสดเข้าถึงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง

เหตุใดการสตรีมสดจึงได้ผล
การมีส่วนร่วมที่แท้จริง:
ผู้ชมต้องการความจริงแท้ การสตรีมสดช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เชื่อมต่อกับผู้ชมได้โดยไม่ผ่านการกรองและจริงใจ ส่งผลให้เกิดความไว้วางใจและความภักดี

การโต้ตอบแบบเรียลไทม์:
ผู้ชมสามารถแสดงความคิดเห็น ถามคำถาม และแบ่งปันความคิดของตนในระหว่างการออกอากาศ ซึ่งจะสร้างช่องทางการสื่อสารสองทางที่ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม

เพิ่มการเข้าถึง:
อัลกอริทึมของโซเชียลมีเดียมักให้ความสำคัญกับเนื้อหาสด เพิ่มการมองเห็น และขยายศักยภาพการเข้าถึงแบรนด์ของคุณ

การตลาดที่คุ้มต้นทุน:
การสตรีมสดต้องใช้การลงทุนน้อยมากเมื่อเทียบกับกลยุทธ์การตลาดแบบดั้งเดิม ซึ่งทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจทุกขนาด

เพิ่มอัตราการแปลง:
การสาธิตผลิตภัณฑ์แบบเรียลไทม์ คำรับรอง และโปรโมชั่นระหว่างการถ่ายทอดสดสามารถส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อได้อย่างมาก

เคล็ดลับสำหรับการสตรีมสดที่ประสบความสำเร็จ
วางแผนเนื้อหาของคุณ:ร่างประเด็นสำคัญและเตรียมหัวข้อที่น่าสนใจเพื่อให้ผู้ชมสนใจ
โปรโมตการถ่ายทอดสดของคุณ:ประกาศเซสชันสดของคุณล่วงหน้าเพื่อสร้างความคาดหวัง
มีส่วนร่วมกับผู้ชม:ตอบกลับความคิดเห็นและคำถามเพื่อส่งเสริมการโต้ตอบ
อุปกรณ์ทดสอบ:รับรองอินเทอร์เน็ตที่เสถียร แสงสว่างที่ดี และเสียงที่ชัดเจนเพื่อประสบการณ์ระดับมืออาชีพ
คำกระตุ้นการดำเนินการ:กระตุ้นให้ผู้ชมดำเนินการบางอย่าง เช่น เยี่ยมชมเว็บไซต์หรือซื้อสินค้า

ตัวอย่างความสำเร็จของการถ่ายทอดสด
แบรนด์ต่างๆ มากมายใช้ประโยชน์จากการสตรีมสดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจ แบรนด์แฟชั่นนำเสนอคอลเลกชันล่าสุดของตนผ่านแฟชั่นโชว์สด บริษัทเทคโนโลยีเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และผู้มีอิทธิพลจัดเซสชันแบบโต้ตอบเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับผู้ติดตาม


8
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคโควิด-19

สาเหตุ

โรคโควิด-19 เป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจชนิดรุนแรง เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ซึ่งมีชื่อว่า Severe acute respiratory syndrome coronavirus 2 (SARS-CoV-2)* สามารถติดต่อจากคนสู่คนอย่างง่ายดายแบบไข้หวัด/ไข้หวัดใหญ่ ด้วยส่วนมากติดต่อโดยการสูดเอาฝอยละอองเสมหะ น้ำมูก/น้ำลายขนาดใหญ่ ที่ผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อไอ จาม หรือหายใจรดใส่เวลาพูดคุยหรือส่งเสียงร้อง (ร้องเพลง ตะโกน) การแพร่เชื้อโดยวิธีนี้เรียกว่า "การติดต่อผ่านฝอยละออง (droplet transmission)" ซึ่งสามารถกระจายออกไปภายในรัศมีไม่เกิน 1 เมตร

การติดต่อที่พบได้บ่อยอีกวิธีหนึ่ง คือ การติดต่อโดยการสัมผัส กล่าวคือ ฝอยละอองเสมหะ/น้ำลายขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักมากเกินกว่าจะลอยในอากาศ ซึ่งผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อปล่อยออกมานั้นจะตกลงบนพื้นผิวต่าง ๆ หรือมือของผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อที่ปนเปื้อนเสมหะ/น้ำลายของตัวเอง เผลอไปสัมผัสถูกมือของผู้อื่น หรือไปจับต้องวัตถุหรือพื้นผิวต่าง ๆ (ซึ่งเชื้อมีชีวิตอยู่ได้นานเป็นชั่วโมง ๆ บางกรณีอาจนานถึง 72 ชั่วโมง) เมื่อคนปกติเกิดไปสัมผัสมือผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อ วัตถุหรือพื้นผิวต่าง ๆ แล้วเผลอนำมือที่เปื้อนเชื้อนั้นไปสัมผัสหน้า ตา จมูก ทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ทางเดินหายใจได้ การติดต่อโดยการสัมผัส ผู้สัมผัสเชื้อไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยในเวลาเดียวกัน จึงสามารถแพร่เชื้อไปสู่คนที่อยู่ห่างไกลออกไปได้

นอกจากนี้ ยังพบว่าการอยู่ในพื้นที่หรือห้องที่ปิด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ฝอยละอองเสมหะ/น้ำลายขนาดเล็กมาก (น้อยกว่า 5 ไมครอน) หรือฝอยละอองเสมหะ/น้ำลายที่ระเหยไปจนมีขนาดเล็ก ซึ่งผู้ป่วย/ผู้ติดเชื้อปล่อยออกมาสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานเป็นชั่วโมง ๆ และกระจายไปได้ไกลกว่า 1 เมตร เมื่อคนปกติสูดเอาฝอยละอองนี้เข้าไปก็เกิดการติดเชื้อได้ การแพร่เชื้อโดยวิธีนี้เรียกว่า "การติดต่อผ่านอากาศ (airborne transmission)" ซึ่งพบว่าโรคโควิด-19 มีการติดต่อโดยวิธีนี้เป็นส่วนน้อย

ระยะฟักตัว ระยะที่นับจากวันที่ติดเชื้อจนมีอาการป่วยไข้ ส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 2-14 วัน ส่วนน้อยอาจมีระยะฟักตัวมากกว่า 14 วันขึ้นไป**

ผู้ป่วยที่อยู่ในระยะฟักตัว (เรียกว่า "ผู้ป่วยก่อนมีอาการ" หรือ "presymptomatic") สามารถแพร่เชื้อได้ ตั้งแต่ 48 ชั่วโมงก่อนแสดงอาการ

นอกจากนี้ มีผู้ติดเชื้อจำนวนหนึ่งจะไม่แสดงอาการเจ็บป่วยของโรคนี้แต่อย่างใดเลย (เรียกว่า "ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ" หรือ "asymptomatic" ซึ่งพบได้ราวร้อยละ 20-30 ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด) ก็สามารถแพร่เชื้อได้

การติดเชื้อราวครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 50) เป็นการติดมาจากผู้ที่ไม่แสดงอาการ ซึ่งหมายรวมถึงผู้ป่วยก่อนมีอาการและผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ

*กลุ่มไวรัสโคโรนาที่ทำให้เกิดโรคในคนทุกปีมาแต่นานนม มีอยู่ 4 สายพันธุ์ อันเป็นสาเหตุของการเกิดไข้หวัดธรรมดาที่พบในคนทั่วไป ซึ่งมีความรุนแรงไม่มาก และคนส่วนใหญ่มีภูมิต้านทานต่อไวรัสพวกนี้

แต่ต่อมาเชื้อไวรัสกลุ่มนี้ได้เกิดการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ 2 ชนิด ได้แก่ ไวรัสโคโรนาซาร์ส (SARS-CoV, Severe acute respiratory syndrome coronavirus) ซึ่งทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง หรือโรคซาร์ส (SARS, Severe acute respiratory syndrome) ในปี 2545 และไวรัสโคโรนาเมอร์ส (MERS-CoV, Middle East respiratory syndrome coronavirus) ซึ่งทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส (MERS, Middle East Respiratory Syndrome) ในปี 2555

โรค 2 ชนิดนี้มีความรุนแรงทั้งคู่ โดยมีอัตราการเสียชีวิตถึงประมาณร้อยละ 11 สำหรับโรคซาร์ส (มีผู้ป่วยในมากกว่า 30 ประเทศ รวมทั้งสิ้น 8,422 ราย เสียชีวิตราว 916 ราย) และประมาณร้อยละ 34 สำหรับโรคเมอร์ส (มีผู้ป่วยใน 27 ประเทศ รวมทั้งสิ้นราว 2,500 ราย เสียชีวิตราว 850 ราย)

เมื่อปลายปี 2562 เกิดโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ซึ่งเป็นไวรัสโคโรนาชนิดที่ 7 เรียกว่า "โรคโควิด-19 (COVID-19)" และเรียกไวรัสตัวใหม่นี้ว่า ไวรัสโคโรนาโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงชนิดที่สอง (Severe Acute Respiratory Syndrome Coronavirus 2, SARS-CoV-2) เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมอย่างใกล้ชิดกับเชื้อไวรัสโรคซาร์ส แต่มีความรุนแรงและการระบาดของโรคต่างจากโรคซาร์ส

ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเชื้อไวรัสตัวใหม่นี้มาจากไหน สันนิษฐานว่าอาจติดมาจากตัวนิ่ม ซึ่งเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสตัวใหม่นี้จากค้างคาวมาสู่คน

**มีรายงานการศึกษาที่อู่ฮั่นว่า มีค่ามัธยฐานของระยะฟักตัว 5.1 วัน (หมายความว่าผู้ป่วยครึ่งหนึ่งมีระยะฟักตัวน้อยกว่า 5.1 วัน และครึ่งหนึ่งมีระยะฟักตัวมากกว่า 5.1 วัน) และร้อยละ 97.5 ของผู้ป่วยมีอาการเกิดขึ้นภายใน 11.5 วัน

อาการ

ผู้ติดเชื้อบางรายไม่มีอาการผิดสังเกตแต่อย่างใดเลย แต่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้

ส่วนผู้ติดเชื้อกลุ่มที่มีอาการ เริ่มแรกจะมีอาการไข้ (มากกว่า 37.5 องศาเซลเซียส) อ่อนเพลีย ตามมาด้วยอาการไอแห้ง ๆ เป็นส่วนใหญ่

นอกจากนี้ อาจมีอาการอื่น ๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างร่วมด้วย เช่น เบื่ออาหาร ไอมีเสมหะ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปวดเมื่อยตามข้อหรือกล้ามเนื้อ หนาวสั่น เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล แน่นหน้าอก ใจสั่น มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง ตาแดง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน

บางรายอาจไม่มีอาการเป็นไข้ตัวร้อน แต่มีอาการไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล คล้ายเป็นหวัดธรรมดา บางรายอาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ ตาแดง หรือผื่นขึ้นร่วมด้วย

ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (ราวร้อยละ 80) มีอาการเพียงเล็กน้อย คล้ายเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ และหายได้เอง

ส่วนน้อย (ราวร้อยละ 20) มีอาการรุนแรง คือหลังมีไข้ ไอ ได้ราว 1 สัปดาห์ อาจเกิดปอดอักเสบแทรกซ้อน (มีอาการเหนื่อยหอบ หายใจลำบาก บางรายอาจมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงร่วมด้วย) หรือภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงอื่น ๆ ตามมา

ภาวะแทรกซ้อน

โรคโควิด ถึงแม้จะเป็นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจเป็นหลัก แต่เชื้อไวรัสโควิดยังกระตุ้นให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาการอักเสบที่รุนแรง (ไวรัสกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันหลั่งสารที่มีชื่อว่า "ไซโทคีน (cytokine)" ออกมาปริมาณมาก เรียกว่า "ภาวะพายุไซโทไคน์ (cytokine storm)" ส่งผลกระทบรุนแรงต่ออวัยวะหลายระบบของร่างกาย ก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนมากมาย

ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ได้แก่

    ปอดอักเสบชนิดร้ายแรง กลุ่มอาการหายใจล้มเหลวเฉียบพลัน (acute respiratory distress syndrome/ARDS) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย
    ภาวะโลหิตเป็นพิษ ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ
    โรคหัวใจ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว
    โรคเลือดและหลอดเลือด เช่น ภาวะหลอดเลือดฝอยมีลิ่มเลือด (thrombosis) ซึ่งอาจพบในหัวใจ ปอด ตับ ไต, ภาวะเลือดแข็งตัวในหลอดเลือดแบบแพร่กระจาย (DIC, disseminated intravascular coagulation), ภาวะลิ่มเลือดหลุดอุดหลอดเลือดดำ (thromboembolism) เช่น หลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด (deep vein thrombosis) ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอด (pulmonary embolism) ที่ร้ายแรงตามมาได้
    โรคระบบประสาทและสมอง เช่น ชัก เดินเซ สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคหลอดเลือดสมอง (ตีบหรือแตก) อัมพาตครึ่งซีก กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร ไมแอสทีเนียเกรวิส โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ เป็นต้น
    โรคตับเฉียบพลัน (acute liver injury) ซึ่งมีความผิดปกติได้หลายอย่าง รวมทั้งตับวาย
    โรคไตเฉียบพลัน (acute kidney injury) ซึ่งมีความผิดปกติได้หลายอย่าง รวมทั้งไตวาย
    ในเด็กพบภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าผู้ใหญ่ แต่ก็มีบางรายที่อาจเกิดกลุ่มอาการอักเสบของอวัยวะหลายระบบ (multisystem inflammatory syndrome in children/MIS-C) แทรกซ้อน ซึ่งอาจร้ายแรงถึงทำให้เสียชีวิตได้

การวินิจฉัย

เนื่องจากโรคโควิด-19 มีอาการและสิ่งตรวจพบคล้ายโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ (เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ คออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ) จากเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสชนิดอื่น ๆ จึงไม่อาจวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบได้

หากสงสัย เช่น มีประวัติสัมผัสโรค เดินทางไปหรืออยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคนี้ หรือเป็นกลุ่มที่มีอาชีพหรือพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดโรคโควิด-19 เแพทย์จะยืนยันการวินิจฉัยโดยทำการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 (เชื้อโควิด-19) จากสารคัดหลั่งที่จมูกหรือลำคอของผู้ป่วยซึ่งเก็บตัวอย่างโดยการใช้ไม้ป้ายจมูกหรือคอ (nasal/throat swab) และทำการตรวจด้วยวิธีที่เรียกว่า "Reverse transcription-polymerase chain reaction (RT-PCR)"

นอกจากนี้ แพทย์จะทำการตรวจดูภาวะแทรกซ้อน เช่น เอกซเรย์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (ตรวจดูอาการปอดอักเสบ) ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

1. ในรายที่ตรวจพบเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ไม่มีอาการและรู้สึกสบายดี ให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อให้ผู้อื่นอยางน้อย 5 วัน และสังเกตอาการ โดยไม่ต้องให้ยารักษา

2. ในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อย ไม่เป็นปอดอักเสบ และไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคโควิด-19 ที่รุนแรง* ซึ่งพบได้เป็นส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่มีอาการทั้งหมด และมักจะหายจากโรคได้เองโดยไม่ต้องให้ยารักษา หรือเพียงให้ยารักษาตามอาการแบบเดียวกับการรักษาไข้หวัด (เช่น ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ เป็นต้น) และแนะนำให้ผู้ป่วยพักผ่อน ดื่มน้ำมาก ๆ และให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อให้ผู้อื่นอย่างน้อย 5 วัน

ผู้ป่วยที่มีอาการเพียงเล็กน้อยสามารถพักรักษาตัวเองและเฝ้าดูอาการอยู่ที่บ้าน และให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อให้ผู้อื่นอย่างน้อย 5 วัน

3. ผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง แต่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคโควิด-19 ที่รุนแรง* หรือผู้ป่วยที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง แต่มีปอดอักเสบเล็กน้อยถึงปานกลาง (ซึ่งยังไม่ต้องให้ออกซิเจน) แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส (nirmatrelvir/ritonavir, remdesivir หรือ molnupiravir) ซึ่งมีขนาด วิธีใช้ ผลข้างเคียง และข้อควรระวังยาที่แตกต่างกัน แพทย์จะเลือกใช้ชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยพิจารณาให้เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย และจะต้องให้ภายใน 5 วันตั้งแต่เริ่มมีอาการจึงจะได้ผลดี

โดยทั่วไปแพทย์จะให้ยาเม็ด nirmatrelvir/ritonavir (เป็นยาต้านไวรัส 2 ชนิดรวมในเม็ดเดียว มีชื่อการค้าว่า Paxlovid) กิน 5 วัน ยานี้มีประสิทธิภาพดีในการรักษา แต่มีข้อเสียคือ ไม่ควรกินร่วมกับยาอื่นจำนวนมาก เพราะอาจมีปฏิกิริยาต่อกัน จนเกิดผลลบต่อร่างกายหรือการรักษาได้, ยา remdesivir เป็นยาที่ใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ วันละครั้ง 3 วัน ซึ่งมีความไม่สะดวก, ส่วนยาเม็ด molnupiravir ให้กิน 5 วัน เนื่องจากมีประสิทธิภาพด้อยกว่าอีก 2 ชนิดข้างต้น จะใช้เมื่อไม่สามารถใช้ยาดังกล่าว มีข้อดีคือ ใช้ร่วมกับยาอื่น ๆ ได้ แต่มีข้อเสียคือ ไม่ควรใช้ในเด็ก หญิงตั้งครรภ์และหญิงที่ให้นมบุตร

4. แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้ตั้งแต่ 39 องศาเซลเซียสขึ้นไป วัดได้อย่างน้อย 2 ครั้งในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง โดยวัดห่างกัน 4 ชั่วโมง
    มีภาวะขาดออกซิเจน มีค่าระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 95% (มีค่าเท่ากับหรือต่ำกว่า 94%)
    เป็นผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่ออาการรุนแรง และขาดคนดูแลได้ตลอดเวลา
    มีภาวะแทรกซ้อน หรือมีการกำเริบของโรคประจำตัวที่เป็นอยู่เดิม
    มีภาวะอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องรับตัวไว้ในโรงพยาบาล
    ผู้ป่วยเด็ก ที่มีภาวะที่จำเป็นต้องเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ต้องให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ หรือให้ออกซิเจน มีอาการซึม ชัก ท้องเดิน อาเจียน กินไม่ได้ ขาดน้ำ เป็นต้น

แพทย์จะทำการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เอกซเรย์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น เพื่อประเมินความรุนแรง และค้นหาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ

การรักษา แพทย์จะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส (nirmatrelvir/ritonavir, remdesivir หรือ molnupiravir) อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อกำจัดเชื้อไวรัสโควิด-19 และยาสเตียรอยด์ (เช่น เดกซาเมทาโซน เพร็ดนิโซโลน) เพื่อลดปฏิกิริยาการอักเสบ

สำหรับผู้ป่วยที่เป็นปอดอักเสบรุนแรงในผู้ใหญ่ หรือในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีที่มีอาการหายใจเร็วผิดปกติ (อายุ 0-2 เดือน หายใจมากกว่า 60 ครั้งต่อนาที, 2-12 เดือน หายใจมากกว่า 50 ครั้งต่อนาที, 1-5 ปี หายใจมากกว่า 40 ครั้งต่อนาที, มากกว่า 5 ปี หายใจมากกว่า 30 ครั้งต่อนาที) และต้องให้ออกซิเจนในการรักษา แพทย์จะให้ยาต้านไวรัส remdesivir และยาสเตียรอยด์

นอกจากนี้ แพทย์จะให้การรักษาตามอาการ และทำการแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่ตรวจพบ เช่น ให้น้ำเกลือ, ให้ออกซิเจน, ใส่ท่อช่วยหายใจ ใช้เครื่องช่วยหายใจ ใช้เครื่องช่วยพยุงการทำงานของหัวใจและปอด (extracorporeal membrane oxygenation/ECMO), ให้ยาปฏิชีวนะรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน (รวมทั้งภาวะโลหิตเป็นพิษ), ให้สารกันเลือดเป็นลิ่ม (เช่น เฮพาริน) ในรายที่มีสัญญาณของการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ, ทำการล้างไต (dialysis) ในรายที่มีภาวะไตวาย เป็นต้น

ผลการรักษา ในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อยหรือไม่รุนแรง จะหายเป็นปกติได้ในราว 2 สัปดาห์หลังมีอาการ

ในรายที่มีอาการรุนแรง จะหายเป็นปกติได้ในราว 2-6 สัปดาห์หลังมีอาการ บางรายอาจนานหลายเดือน ในรายที่เป็นกลุ่มเสี่ยงซึ่งมีอาการหนักและเข้ารักษาในโรงพยาบาล มีอัตราการเสียชีวิตโดยเฉลี่ยทั่วโลกราวร้อยละ 1-2** ของผู้ป่วย ซึ่งจะเกิดขึ้นในราว 1-7 สัปดาห์หลังมีอาการ

ผู้ป่วยบางราย (มีรายงานว่าราวร้อยละ 10-40 ของผู้ป่วยทั้งหมด) แม้ว่าจะได้รับการดูแลรักษาจนหายและตรวจไม่พบเชื้อแล้ว แต่ก็ยังอาจมีอาการผิดปกติอย่างต่อเนื่องนานเป็นเดือน ๆ หรือเป็นปี ๆ แพทย์เรียกภาวะที่มีอาการผิดปกตินานเกิน 4 สัปดาห์หลังได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคโควิด-19 นี้ว่า "กลุ่มอาการภายหลังเป็นโควิด-19" (post-COVID-19 syndrome) หรือ "ภาวะหลังเป็นโควิด-19 (post-COVID-19 condition)" หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "โควิดยาว" (long COVID)*** มักพบในผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง หรือเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่ก็อาจพบในผู้ป่วยที่อายุน้อยและแข็งแรงดีมาก่อน รวมทั้งผู้ป่วยที่มีอาการเล็กน้อย และไม่มีอาการได้เช่นกัน

*กลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง ที่สำคัญ ได้แก่

    ผู้สูงอายุ (มากกว่า 60 ปีขึ้นไป) อายุยิ่งมากยิ่งเสี่ยงมากขึ้น
    ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด ยากดภูมิคุ้มกัน ยาสเตียรอยด์ (ที่มีขนาดเทียบเท่า prednisolone 15 มก./วัน นาน 15 วันขึ้นไป)
    ผู้ที่ป่วยมีโรคประจำตัว ได้แก่ เบาหวาน (ที่ควบคุมไม่ได้) โรคปอดเรื้อรัง (เช่น ถุงลมปอดโป่งพอง) โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง ตับแข็ง (Child-Pugh class B ขึ้นไป) ภาวะไตวายเรื้อรัง (stage 3 ขึ้นไป) มะเร็ง (ที่กำลังรับการรักษา)
    ผู้ติดเชื้อเอชไอวีหรือเป็นโรคเอดส์ (ที่มีค่า CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม.)
    ผู้ที่มีภาวะอ้วน (มีน้ำหนักมากว่า 90 กก. หรือมีค่าดัชนีมวลกายเท่ากับหรือมากกว่า 30 กก./ตร.เมตร)
    สำหรับกลุ่มเด็กที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง ได้แก่ เด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี, เด็กที่มีภาวะอ้วน เป็นโรคพันธุกรรม กลุ่มอาการดาวน์ มีภาวะพร่องทางระบบประสาทอย่างรุนแรงหรือมีพัฒนาการช้า เป็นเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง โรคไตเรื้อรัง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง (รวมทั้งโรคหืด) มะเร็ง หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ

หมายเหตุ ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีประวัติสูบบุหรี่มานาน และหญิงตั้งครรภ์ พบว่ามีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรง ผู้ป่วยทั้ง 3 กลุ่มนี้เมื่อติดเชื้อโควิด-19 ไม่ว่าจะมีอาการมากน้อยเพียงใด ก็ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อให้แพทย์พิจารณาให้การรักษา (รวมทั้งการให้ยาต้านไวรัส) ตามความรุนแรงของโรคที่ตรวจพบ


**อัตราตายมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ ขึ้นกับจำนวนผู้ป่วยที่ค้นพบ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ หรือมีอาการเล็กน้อยที่ไม่ได้ถูกตรวจหาเชื้อ) สัดส่วนของผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง และประสิทธิภาพของการดูแลรักษาผู้ป่วย

ความรุนแรงของโรคขึ้นกับสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสโคโรนาที่เป็นตัวก่อโรค และระดับภูมิคุ้มกันหมู่ของประชากรซึ่งเกิดจากการฉีดวัคซีน

ไวรัสตัวนี้มีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ใหม่ ๆ หลายสายพันธุ์ เช่น สายพันธุ์แอลฟา ซึ่งพบครั้งแรกที่อังกฤษ, สายพันธุ์บีตา ซึ่งพบครั้งแรกที่แอฟริกาใต้, สายพันธุ์แกมมา ซึ่งพบครั้งแรกที่บราซิล, สายพันธุ์เดลตา ซึ่งพบครั้งแรกที่อินเดีย, สายพันธุ์แลมบ์ดา ซึ่งพบครั้งแรกที่เปรู, สายพันธุ์โอมิครอน (โอไมครอน) ซึ่งพบครั้งแรกที่แอฟริกาใต้ เป็นต้น เชื้อเหล่านี้มีความเร็วในการแพร่เชื้อ อาการแสดง และความรุนแรงที่ต่างกัน

สำหรับสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งพบครั้งแรกที่แอฟริกาใต้เมื่อปลายปี 2564 ได้ระบาดไปยังประเทศต่าง ๆ และมีการกลายพันธุ์เรื่อยมาเป็นสายพันธุ์ย่อย ๆ หลายชนิด นับว่าเป็นเชื้อที่ก่อโรคโควิด-19 หลัก ซึ่งสามารถแพร่โรคได้เร็วขึ้น แต่มีความรุนแรงน้อยลง

***โควิดยาว มีอาการที่พบบ่อย ได้แก่ อ่อนล้า ไม่มีแรง เหนื่อยง่าย หายใจลำบากหรือหอบเหนื่อย ปวดศีรษะ ปวดท้อง ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ (อาจถึงขั้นทำงานไม่ได้ เดินไม่ได้) เจ็บหน้าอก เจ็บคอ ไม่มีสมาธิ ความคิดสับสน มีความวิตกกังวล อารมณ์ซึมเศร้า นอนไม่หลับ ความจำเสื่อม นอกจากนี้ยังอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น เห็นบ้านหมุน ใจเต้นเร็วหรือใจสั่น จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส มีไข้ต่ำ ไอ เบื่ออาหาร ท้องเดิน ปวดหูหรือมีเสียงในหู ผมร่วง มีผื่นตามตัว ประจำเดือนผิดปกติ เป็นต้น ผู้ป่วยจะมีอาการแตกต่างกันไปในแต่ละคน ซึ่งอาจมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน ไม่มีลักษณะตายตัว บางรายอาจมีอาการมากจนทำงานไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น หรือต้องให้ออกซิเจนช่วยในการหายใจ

สันนิษฐานว่า ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นอาการที่ตกค้างมาแต่แรก อีกส่วนหนึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับอาการที่เกิดจากอวัยวะต่าง ๆ (เช่น ปอด หัวใจ สมอง) ถูกเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำลายจนทำงานผิดปกติ รวมทั้งอาจเกิดจากผลกระทบต่อจิตใจผู้ป่วยที่ต้องเผชิญกับโรคที่รุนแรงและจำเป็นต้องอยู่รักษาตัวในโรงพยาบาลนาน ๆ (เกิดภาวะที่เรียกว่า "ภาวะจิตเครียดหลังเผชิญเหตุสะเทือนขวัญ" post-traumatic stress disorder/PTSD)

ส่วนผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย แล้วเกิดภาวะ "โควิดยาว" ยังอธิบายสาเหตุไม่ได้ชัดเจน บ้างสันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากความกลัว ความวิตกกังวล ความเครียด หรือมีความผิดปกติของเนื้อเยื่อในอวัยวะต่าง ๆ (เช่น สมอง หัวใจ) ที่เกิดจากการบ่อนทำลายโดยเศษซากของเชื้อโควิด-19 ซึ่งยังไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยวิธีการตรวจในปัจจุบัน (มีรายงานการทดลองฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้ผู้ที่มีภาวะโควิดยาว พบว่ามีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งอาการดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ทำให้นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่า สาเหตุหนึ่งของภาวะโควิดยาวเกิดมาจากมีเศษซากของเชื้อโควิด-19 หลงเหลืออยู่ในร่างกาย เมื่อได้รับวัคซีนเข้าไปทำลายเชื้อให้หมดไปจึงทำให้อาการดีขึ้น)

สำหรับกลุ่มอาการภายหลังเป็นโควิด-19 (โควิดยาว) แพทย์จะทำการรักษาตามอาการ (เช่น ผู้ที่มีอาการปวด แพทย์จะให้ยาบรรเทาปวด ผู้ที่มีอาการหอบเหนื่อย แพทย์จะให้ยาขยายหลอดลม และอาจต้องให้ออกซิเจน ผู้ที่มีความเครียด วิตกกังวล หรือนอนไม่หลับ แพทย์จะให้ยากล่อมประสาท และ/หรือยานอนหลับ เป็นต้น) แพทย์จะแนะนำผู้ป่วยให้รู้จักดูแลสุขภาพตนเอง (ในเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย การนอนหลับพักผ่อน การคลายเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ) และติดตามผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง

ส่วนอาการจะเป็นนานแค่ไหนยังไม่มีข้อสรุป แต่คาดว่าอาการบางอย่าง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกิดจากอวัยวะถูกทำลาย) อาจเป็นนานเป็นปีหรือหรือมากกว่า หรือตลอดไป ซึ่งจะต้องรอการติดตามศึกษาต่อไป

การดูแลตนเอง

หากมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อโควิด-19, อยู่หรือเดินทางเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค, เข้าไปในสถานที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ (เช่น บ่อน สนามมวย สถานบันเทิง ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล เป็นต้น) หรือมีอาการเจ็บป่วย (เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย ไอ หายใจลำบาก จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รู้รส เป็นหวัด เจ็บคอ ท้องเดิน เป็นต้น) ซึ่งสงสัยว่าจะเป็นโรคโควิด-19, หรือใช้ชุดตรวจแอนติเจน (antigen test kid/ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรไปปรึกษาแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็ว

9
ย้ายเฟอร์นิเจอร์ ย้ายที่พัก ที่สะดวก ปลอดภัย เลือก รถรับจ้างขนของอุดรธานี เป็นตัวช่วยสำหรับคุณ

เมื่อใดก็ตามการ ย้ายที่พัก หรือ ย้ายเฟอร์นิเจอร์ เป็นงานที่ต้องใช้ความระมัดระวังและการวางแผนอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการย้ายบ้าน ย้ายคอนโด หรือย้ายหอพัก การขนย้ายสิ่งของให้ปลอดภัยและรวดเร็วจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากคุณกำลังมองหาตัวช่วยที่จะทำให้การย้ายบ้านของคุณสะดวกและไร้กังวล รถรับจ้างอุดรธานี คือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดค่ะรถขนของย้ายบ้าน ไปต่างจังหวัด

ทำไมต้องเลือกใช้บริการรถรับจ้างอุดรธานี ?


1. บริการที่ครบวงจร

รถรับจ้างอุดรธานี มีบริการหลากหลายที่คุณต้องว้าวววว ไม่ว่าจะเป็นการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ย้ายที่พัก หรือการขนส่งสินค้าทั่วไป เรามีทีมงานที่พร้อมดูแลทุกขั้นตอน ตั้งแต่การยกของ ขนของ ไปจนถึงการจัดวางของในสถานที่ใหม่ๆ ค่ะ


2. ยานพาหนะหลากหลายขนาด

ไม่ว่าคุณจะย้ายของชิ้นเล็กๆ  หรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ เช่น ตู้เสื้อผ้า เตียง หรือโต๊ะทำงาน รถรับจ้างอุดรธานี มีรถหลากหลายประเภท ทั้ง รถกระบะรับจ้าง รถ 6 ล้อ และรถ 10 ล้อ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า


3. ความปลอดภัยของทรัพย์สิน

ทีมงานของเรามีความเชี่ยวชาญในการจัดวาง การยก ของเพื่อป้องกันความเสียหาย พร้อมทั้งมีอุปกรณ์เสริม เช่น สายรัด และผ้าคลุม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยระหว่างการขนย้ายไปยังจุดหมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย


4. บริการรวดเร็วและตรงต่อเวลา

เราเข้าใจว่าความรวดเร็วและความตรงต่อเวลาสำคัญสำหรับลูกค้า บริการรถรับจ้างอุดรธานี จึงมีการจัดการที่เป็นมืออาชีพ เพื่อให้การย้ายของคุณเสร็จสิ้นตามกำหนดเวลาค่ะ


5. ราคาย่อมเยา

บริการของเรา มีราคาที่เป็นมิตรกับทุกงบประมาณ โดยคุณสามารถสอบถามและประเมินราคาได้ล่วงหน้า ทราบราคาก่อนการขนย้าย และไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมภายหลัง เพียงแค่คุณให้ข้อมูลการขนย้ายที่ครบถ้วนค่ะ


บริการรถรับจ้างอุดรธานี เหมาะสำหรับใครบ้าง?

    ผู้ที่ย้ายบ้าน คอนโด หรือหอพัก
    ร้านค้าหรือบริษัทที่ต้องการขนย้ายสินค้าและอุปกรณ์
    ผู้ที่ต้องการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เก่าหรือใหม่
    ผู้ที่ต้องการขนส่งสิ่งของระหว่างจังหวัด


วิธีการติดต่อ รถรับจ้างอุดรธานี

สิ่งแรกเลยนะคะคือการติดต่อใช้ บริการรถรับจ้างอุดรธานี ทำได้ง่ายและสะดวก โดยมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนเพื่อให้ลูกค้าทุกคนได้รับบริการที่เหมาะสมและรวดเร็วที่สุด


1. โทรศัพท์ติดต่อโดยตรง

คุณสามารถโทรติดต่อทีมงานของเราได้ผ่านหมายเลขที่ระบุไว้ เพียงแจ้งรายละเอียดสำคัญ เช่น ประเภทของสิ่งของที่ต้องการขนย้าย (เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้า) ขนาดหรือปริมาณของสิ่งของ เพื่อให้ทีมงานจัดเตรียมรถที่เหมาะสม วันที่และเวลาที่ต้องการใช้บริการ เพื่อการวางแผนล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ จุดรับของและจุดหมายปลายทาง


2. ขอคำปรึกษาและคำแนะนำ

หากคุณไม่แน่ใจว่าควรใช้รถขนาดใด หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับขั้นตอนการขนย้าย ทีมงานของเรายินดีให้คำปรึกษาฟรี เราจะช่วยแนะนำตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดให้คุณ ทั้งในด้านการเลือกประเภทรถ การจัดการสิ่งของ และการวางแผนเส้นทาง


3. ประเมินราคาเบื้องต้น

หลังจากคุณแจ้งรายละเอียด ทีมงานจะทำการประเมินค่าใช้จ่ายให้ทราบอย่างโปร่งใส คุณสามารถตรวจสอบและตกลงราคาก่อนเริ่มใช้บริการ


4. ยืนยันการจองบริการ

เมื่อพอใจกับการประเมินและตกลงรายละเอียดแล้ว คุณสามารถยืนยันการจองบริการได้ทันที ทีมงานของเราจะจัดเตรียมรถและทีมงานเพื่อให้บริการตรงตามเวลาที่นัดหมาย


5. ติดตามสถานะงานได้ตลอด

ระหว่างการขนย้าย คุณสามารถสอบถามสถานะการเดินทางหรือปรึกษาเพิ่มเติมได้ ทีมงานพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอดเส้นทางค่ะ

การติดต่อขนส่ง ไม่ใช่แค่การจองรถ แต่คือการเริ่มต้นของบริการที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อให้คุณมั่นใจว่า การย้ายของจะสะดวก ปลอดภัย และราบรื่นที่สุดค่ะ

การย้ายเฟอร์นิเจอร์หรือย้ายที่พักไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเมื่อคุณเลือกใช้บริการ รถรับจ้างอุดรธานี ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการ ด้วยทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ยาวนาน รถที่ได้มาตรฐานทั้งในด้านความปลอดภัยและการรองรับน้ำหนัก พร้อมทั้งการบริการที่ใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การขนย้ายจนถึงการจัดวางในสถานที่ใหม่ ไม่ว่าคุณจะ ย้ายบ้าน ย้ายคอนโด หรือหอพัก เราพร้อมช่วยดูแลทรัพย์สินของคุณให้ปลอดภัยทุกชิ้น ด้วยการจัดการที่พิถีพิถันและอุปกรณ์เสริมที่ครบครัน เรายังมีบริการที่รวดเร็ว ตรงต่อเวลา และราคาที่สมเหตุสมผลค่ะ มั่นใจได้เลยว่า การย้ายของคุณจะเป็นไปอย่างราบรื่น ไร้กังวล และสะดวกสบายที่สุด เพียงติดต่อเราได้เลยวันนี้!

10
เช่ารถรับจ้างขนของพังงา รถรับจ้างใกล้ฉันแหล่งรถทั้งใหญ่และเล็กสำหรับความหลากหลายของสินค้า

รถรับจ้างขนของพังงา : รถขนของครบวงจรสำหรับทุกขนาดของสินค้า

พังงาเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามและกำลังมีความนิยมอย่างต่อเนื่อง การขนสินค้าและพัสดุไป-มาในพื้นที่นี้เป็นเรื่องสำคัญเพื่อรองรับกิจกรรมนำเข้าและส่งออกต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมท่องเที่ยว บริการรถรับจ้างขนของพังงามีความสำคัญมากเนื่องจากความหลากหลายของสินค้าและของส่งที่ต้องขนส่ง ตรงนี้เราจะพิจารณาประเภทของรถรับจ้างขนของที่มีให้บริการรถรับจ้างขนของ

    รถบรรทุกขนาดใหญ่ : รถรับจ้างขนของขนาดใหญ่มักมีความจุใหญ่เหมาะสำหรับขนสินค้าขนาดใหญ่เช่นวัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ หรือสินค้าอื่น ๆ ที่ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่
    รถกระบะ : รถกระบะมักเหมาะสำหรับการขนสินค้าขนาดเล็กถึงกลาง เช่น พัสดุส่วนตัว พวกกระเป๋าเดินทาง หรือสินค้าสั่งซื้อออนไลน์
    รถกระบะตู้ทึบ : รถรับจ้างขนของขนาดตู้มักมีความหลากหลายในการปรับใช้ สามารถนำสินค้าแบบขนาดเล็กถึงกลางโดยปรับแต่งพื้นที่ขนสินค้าตามความต้องการ

การเลือกใช้ประเภทของรถรับจ้างขนของที่เหมาะสมขึ้นกับลักษณะของสินค้าและปริมาณของสินค้าที่ต้องขนส่ง รถรับจ้างขนของพังงาขนส่ง มักมีคุณสมบัติที่ครอบคลุมความต้องการของคุณเพื่อให้การขนสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย อย่างไรก็ตาม ควรติดต่อกับบริการรถรับจ้างเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหลากหลายของรถรับจ้างขนของที่พร้อมให้บริการในพังงาและคำแนะนำในการเลือกประเภทของรถที่เหมาะสมสำหรับคุณ

   
เลือกสำรองรถรับจ้างขนของ : ความหลากหลายของรถสำหรับความสะดวกสบาย

การเลือกใช้บริการรถรับจ้างขนของพังงาเป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้การขนสินค้าของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสะดวกสบาย พังงามีรถรับจ้างขนของที่มาในหลายประเภทและขนาด ดังนี้

    ความหลากหลายของรถ : คุณสามารถเลือกรถรับจ้างขนของในพังงาตามประเภทของสินค้าที่คุณต้องการขนส่ง เช่น รถบรรทุกใหญ่สำหรับวัสดุก่อสร้างหรือรถกระบะสำหรับพาสดุเล็ก ๆ
    คุณสมบัติพิเศษ : บางบริการรถรับจ้างขนของมีคุณสมบัติพิเศษเช่นระบบ GPS การตรวจสอบความปลอดภัย หรือการติดต่อฉุกเฉิน ซึ่งทำให้การขนสินค้าเป็นไปอย่างปลอดภัย
    ความสะดวกสบายในการสำรองรถ : ระบบสำรองรถออนไลน์ที่สะดวกสบายใช้ง่ายและทำให้คุณสามารถเลือกวันเวลาที่ต้องการให้รถรับจ้างขนของมารับของของคุณ
    การบริการส่วนตัว : บางบริการรถรับจ้างขนของมีทีมงานที่ให้บริการตัวต่อตัวเพื่อช่วยคุณในกระบวนการขนสินค้า
    ราคาและการเปรียบเทียบ : คุณสามารถเปรียบเทียบราคาและคุณภาพของบริการรถรับจ้างขนของต่าง ๆ เพื่อเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับงานขนสินค้าของคุณ

การเลือกใช้ บริการรถรับจ้างขนของพังงา ที่มีความหลากหลายและเน้นความสะดวกสบายจะช่วยให้คุณมั่นใจว่าสินค้าของคุณจะถูกขนส่งอย่างถูกต้องและตามความต้องการของคุณ ทั้งนี้ ควรตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการรถรับจ้างขนของที่มีอยู่ในพังงาเพื่อเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับความต้องการของคุณรถหกล้อรับจ้าง ใกล้ฉัน

   
คุณสมบัติของรถบรรทุก

คุณสมบัติของรถบรรทุกมักเป็นข้อมูลสำคัญเมื่อคุณต้องการเลือกใช้รถบรรทุกเพื่อขนสินค้าหรือสิ่งของต่าง ๆ ที่คุณต้องการขนส่ง คุณสมบัติของรถบรรทุกรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับความจุ ความสามารถในการเดินทางในสภาพที่ต่าง ๆ ความปลอดภัย และความสะดวกสบาย นี่คือคุณสมบัติที่สำคัญของรถบรรทุก

    ความจุ : ความจุของรถบรรทุกหมายถึงจำนวนสินค้าหรือสิ่งของที่สามารถขนส่งได้ในรถ มีหลายประเภทของรถบรรทุกที่มีความจุต่าง ๆ อย่างรถบรรทุกขนาดใหญ่ รถกระบะ หรือรถตู้
    การนำสินค้า : คุณสมบัตินี้เกี่ยวกับวิธีการนำสินค้าลงในรถบรรทุก รถบรรทุกบางคันมีแผงลาดที่ทำให้นำสินค้าลงล่างได้สะดวก และบางคันมีลิฟท์หรือกรอสอาเรย์สำหรับการนำสินค้าขึ้นลงได้
    การเคลื่อนที่ : ความสามารถในการเคลื่อนที่ของรถบรรทุกคือความสามารถในการเดินทางในสภาพถนนที่แตกต่างกัน เช่น ถนนที่ลาด ถนนดง หรือถนนแคบ
    ความปลอดภัย : คุณสมบัติที่เกี่ยวกับความปลอดภัยรวมถึงระบบเบรก ระบบความปลอดภัย และคุณสมบัติการควบคุมระบบในรถบรรทุก
    ความสะดวกสบาย : ความสะดวกสบายของรถบรรทุกอาจเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติพิเศษ เช่น ระบบนำทาง GPS ระบบเครื่องปรับอากาศ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่ทำให้การขนสินค้าเป็นไปอย่างสะดวกสบาย
    คุณภาพและประสิทธิภาพ : คุณสมบัตินี้เกี่ยวข้องกับคุณภาพของรถและความประสิทธิภาพในการขนสินค้า รถบรรทุกที่ให้บริการควรมีความนิยมในการทำงานเป็นระยะเวลานานและมีความเชี่ยวชาญในการขนสินค้า
    ความเร็ว : ความเร็วของรถบรรทุกอาจเป็นปัจจัยสำคัญเมื่อคุณต้องการส่งสินค้าไปถึงที่หมายในระยะเวลาที่กำหนด
    การบำรุงรักษา : ควรพิจารณาความจำเป็นในการบำรุงรักษาและซ่อมบำรุงของรถบรรทุกเพื่อให้รถทำงานได้อย่างถูกต้อง
    เงื่อนไขในการเช่า : ถ้าคุณเช่ารถบรรทุกในการขนสินค้า ควรตรวจสอบเงื่อนไขในสัญญาเช่าและค่าบริการ

คุณสมบัติของรถบรรทุกมีความสำคัญเพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้รถที่เหมาะสมสำหรับงานขนสินค้าของคุณ โดยพิจารณาคุณสมบัติเหล่านี้ คุณสามารถเน้นความสามารถในการขนสินค้าที่ดีและความสะดวกสบายในการใช้บริการรถบรรทุก

   
วิธีติดต่อขอใช้บริการรถรับจ้างขนของพังงาน

    ค้นหาบริการรถรับจ้าง : ค้นหาบริการรถรับจ้างขนของที่ให้บริการในพังงา โดยใช้เครื่องมือค้นหาออนไลน์ เช่น Google หรือดูในโฟลเดอร์โทรศัพท์ท้องถิ่น
    ติดต่อผ่านโทรศัพท์ : หลังจากค้นหาแล้ว คุณสามารถติดต่อบริการรถรับจ้างขนของที่คุณสนใจผ่านหมายเลขโทรศัพท์ที่ระบุไว้ในประกาศหรือเว็บไซต์ของพวกเขา แจ้งให้พวกเขาทราบเกี่ยวกับความต้องการของคุณ เช่น ประเภทของสินค้า ปริมาณ สถานที่ส่งสินค้า และวันที่ที่คุณต้องการให้ขนสินค้า
    สอบถามราคาและเงื่อนไข : ขณะที่คุณติดต่อผ่านโทรศัพท์ คุณควรสอบถามเกี่ยวกับราคาและเงื่อนไขในการเช่ารถ ระบบเบรก ประวัติการขนสินค้า และการรับสินค้าและส่งสินค้า
    ระบุรายละเอียด : ระบุรายละเอียดที่จำเป็นเพื่อบริการรถรับจ้างเข้าใจความต้องการของคุณ อาจจะต้องระบุน้ำหนัก ขนาด ความห่วงโซ่สำหรับสินค้า หรือเรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญ
    ตกลงเรื่องราคาและเวลา : เมื่อคุณตกลงเรื่องราคาและเวลาที่ต้องการให้รถรับจ้างขนของมารับสินค้า คุณควรยืนยันรายละเอียดทางการเงินและขนสินค้า
    ระบุสถานที่ส่งสินค้า : ระบุสถานที่ส่งสินค้าอย่างชัดเจน เพื่อให้รถรับจ้างขนของสามารถมารับสินค้าได้ตามที่ต้องการ
    ยืนยันการจอง : หลังจากคุณตกลงเรื่องราคาและรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง คุณควรยืนยันการจองรถรับจ้างขนของและทำการสัญญาเช่าถ้าจำเป็น
    ตรวจสอบสินค้า : ก่อนที่รถรับจ้างขนของจะออกเดินทาง คุณควรตรวจสอบสินค้าให้แน่ใจว่าทุกอย่างถูกแพ็คและตรงตามรายละเอียดของคุณ
    ชำระค่าบริการ : ชำระค่าบริการตามที่ตกลงในสัญญาหรือรายละเอียดทางการเงินที่ระบุ
    รอการขนสินค้า : รอให้รถรับจ้างขนของนำสินค้าไปถึงสถานที่ปลายทางรถรับจ้างย้ายแม็คโค

การติดต่อและขอใช้บริการรถรับจ้างขนของนั้นเร็วร้อนและเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้การขนสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย. อย่าลืมทำความเข้าใจเงื่อนไขในสัญญาและคุณสมบัติของรถบรรทุกที่คุณเลือกใช้เพื่อให้การขนสินค้าเป็นไปอย่างถูกต้อง

11
ค่าใช้จ่ายในการจัดฟันเด็กประมาณเท่าไร

ค่าใช้จ่ายในการจัดฟันในเด็กมีความหลากหลายและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยทั่วไปแล้วสามารถแบ่งค่าใช้จ่ายออกเป็นส่วนหลักๆ ได้ดังนี้


ค่าใช้จ่ายโดยประมาณในการจัดฟันเด็ก

ราคาจัดฟันในเด็กจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเครื่องมือจัดฟันและความซับซ้อนของปัญหาฟัน โดยมีช่วงราคาโดยประมาณดังนี้:

การจัดฟันแบบถอดได้ (Active Plate): ค่าใช้จ่ายจะเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณ 6,000 - 10,000 บาท ขึ้นไป

การจัดฟันแบบติดแน่นบางส่วน (สำหรับฟันบางซี่): ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 - 25,000 บาท

การจัดฟันแบบโลหะ (แบบเต็ม): ค่าใช้จ่ายจะอยู่ในช่วงประมาณ 45,000 - 65,000 บาท

การจัดฟันแบบใส (Invisalign First): ซึ่งเป็นเครื่องมือจัดฟันแบบใสสำหรับเด็กโดยเฉพาะ ค่าใช้จ่ายจะเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณ 70,000 - 150,000 บาท ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของแต่ละเคส


ปัจจัยที่มีผลต่อค่าใช้จ่าย

ประเภทของเครื่องมือจัดฟัน: เครื่องมือจัดฟันแต่ละชนิดมีราคาที่แตกต่างกันมาก เช่น การจัดฟันแบบโลหะจะมีราคาถูกกว่าการจัดฟันแบบใส (Invisalign)

ความซับซ้อนของปัญหาฟัน: หากปัญหาฟันของเด็กมีความซับซ้อนมาก เช่น ฟันซ้อนเก ฟันยื่น หรือปัญหาขากรรไกรผิดปกติ การรักษาอาจใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น

ช่วงอายุที่จัดฟัน: การจัดฟันในเด็กเล็ก (จัดฟันระยะแรก) อาจมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการจัดฟันแบบเต็มระบบในเด็กโต

คลินิกทันตกรรมและสถานพยาบาล: ราคาค่าบริการของแต่ละคลินิกหรือโรงพยาบาลจะแตกต่างกันไปตามคุณภาพของบริการและประสบการณ์ของทันตแพทย์

ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้น
นอกจากค่าจัดฟันแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ควรนำมาพิจารณาร่วมด้วย ได้แก่:

ค่าเคลียร์ช่องปากก่อนจัดฟัน: เช่น ค่าขูดหินปูน อุดฟัน หรือถอนฟัน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งก่อนเริ่มการจัดฟัน

ค่าเอกซเรย์และพิมพ์ฟัน: ซึ่งเป็นขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยเพื่อวางแผนการรักษา

ค่ารีเทนเนอร์: ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ต้องสวมใส่หลังจัดฟันเสร็จ เพื่อคงสภาพฟันให้เข้าที่และป้องกันไม่ให้ฟันเคลื่อนกลับมา

การจัดฟันในเด็กเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพฟันที่ดีในระยะยาว และยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับลูกหลานของคุณได้อีกด้วย หากต้องการทราบค่าใช้จ่ายที่แม่นยำ ควรปรึกษาทันตแพทย์เฉพาะทางด้านการจัดฟันเพื่อประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดค่ะ

12
เลือกใช้ฉนวนกันความร้อนแบบไหนดี

สำหรับผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการลดความร้อนหรือลดค่าพลังงานโดยการใช้ฉนวนกันความร้อน อาจจะมีคำถามหรือความไม่แน่ใจเกี่ยวกับการเลือกใช้ฉนวนที่เหมาะสมกับงาน และคุ้มค่ากับเงินลงทุนที่ต้องจ่ายไปจึงขอสรุปข้อควรทราบเมื่อต้องเลือกใช้ฉนวนกันความร้อน มาให้เข้าใจโดยสังเขป ดังนี้


1. ประสิทธิผลของฉนวน

ความสามารถในการลดความร้อนและอายุการใช้งานของฉนวน

ฉนวนที่จะเลือกใช้ต้องแก้ปัญหาหน้างานที่เกิดขึ้นได้จริงแก่ทุกฝ่าย

ฉนวนที่มีความหนาแน่นมากกว่า จะมีอายุการใช้งานที่นานกว่าฉนวนความหนาแน่นน้อย

การพิจารณาความคุ้มค่าของฉนวน ต้องนำทั้งราคาและอายุการใช้งานมาคำนวณ หากพิจารณาราคาอย่างเดียวแต่ฉนวนอายุสั้นหรือใช้ได้ไม่นาน ของถูกก็จะกลายเป็นของแพงได้


2. รูปแบบการใช้งานของฉนวน

ฉนวนแบบถอดได้จะให้ความสะดวก รวดเร็ว และคุ้มค่ากับจุดที่ต้องถอดเข้า-ออก บ่อย

ฉนวนแบบหุ้มทับด้วยโลหะจะมีราคาที่ต่ำกว่าฉนวนแบบถอดได้ จึงเหมาะสมกับจุดที่ไม่ต้องมีการถอด

หากต้องการใช้งานทั้งฉนวนกันความร้อนและฉนวนกันเสียงในจุดเดียวกัน ต้องเลือกฉนวนจากผู้ผลิตที่มีรายงานผลการทดสอบเกี่ยวกับค่าการลดทอนเสียง (TL) หรือค่าการดูดกลืนเสียง (SAC) ด้วย


3. คุณสมบัติสำคัญที่ต้องพิจารณา

ฉนวนกันความร้อนทุกแบบต้องมีคุณสมบัติไม่ลามไฟ (พร้อมเอกสารรับรองจากผู้ผลิต)

ฉนวนต้องมีช่วงอุณหภูมิที่ใช้งานโดยปลอดภัยแสดงอย่างชัดเจน เช่น -20C ถึง 600C

ความแข็งแรงทางกายภาพ เช่น คุณสมบัติทนแรงดึง คุณสมบัติทนแรงอัด

ความสามารถในการกันน้ำ กรณีที่ฉนวนมีโอกาสเสียหายหากสัมผัสน้ำหรือของเหลว

ความทนทานต่อการกัดกร่อนของสารเคมี หรือการใช้งานกลางแจ้ง

ความปลอดภัยต่อมนุษย์ รวมไปถึงการปฏิบัติตัวสำหรับคนที่มีอาการแพ้ฉนวน

กรณีจ้างผู้รับเหมาติดตั้ง ควรเลือกที่มีบริการหลังการขายและการให้ความรู้ที่ถูกต้อง

13
บริการทำความสะอาด: แต่ละส่วนในบ้าน ต้องทำความสะอาดบ่อยแค่ไหน

แต่ละส่วนในบ้าน ต้องทำความสะอาดบ่อยแค่ไหน

ทำความสะอาดบ้าน ล้างห้องน้ำ ควรทำทุก 1 เดือน
ทำความสะอาดบ้าน ล้างห้องน้ำ เจ้าของบ้านแต่ละท่านอาจมีการทำงานบ้านง่ายๆ อย่างการล้างห้องน้ำ ปัดกวาดเช็ดถูเอง ทำความสะอาดเองวันเว้นวันหรือสัปดาห์ละครั้งแล้วแต่สะดวก โดยพึ่งแม่บ้านมืออาชีพมาทำความสะอาดแบบลงรายละเอียดลึกตามซอกมุมต่าง ๆ ที่เข้าไม่ถึง อย่างน้อยสักเดือนละ 1 ครั้ง

ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคที่นอน ควรทำทุก 3 เดือน
ทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรคที่นอน ที่นอนที่เรานอนทุกวัน มีเศษผิวหนังจากร่างกายเราร่วงหล่นอยู่และกลายเป็นอาหารชั้นดีของไรฝุ่นซึ่งเป็นอีกตัวการทำให้เกิดภูมิแพ้ได้ และนี่เป็นที่มาว่าเราควรให้มืออาชีพมาจัดการทำความสะอาด ฆ่าเชื้อโรค และดูดไรฝุ่นที่อยู่ลึกถึงด้านในเนื้อที่นอน

ล้างแอร์ ทำความสะอาดถังเก็บน้ำ เครื่องซักผ้า ถังดักไขมัน ควรทำทุก 6 เดือน
ล้างแอร์ ช่วยให้แอร์ทำงานได้ดี ยืดอายุการใช้งาน ไม่ทำงานหนักเกินไป และยังช่วยกำจัดเชื้อโรคที่สะสมอีกด้วย เจ้าของบ้านอาจติดต่อช่างเข้ามาล้างแอร์ประมาณเดือนมีนาคมเพื่อรับหน้าร้อน จากนั้นอีก 6 เดือน จึงล้างอีกรอบ

ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคม่าน โซฟา พรม ควรทำปีละ 1 ครั้ง
ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค ม่าน โซฟา พรม ซึ่งเป็นส่วนที่เราใช้งานบ่อย แต่ไม่ได้ทำความสะอาดกันบ่อยๆ ทำให้กลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ฝุ่น และไรฝุ่นชั้นดี จึงควรพึ่งมืออาชีพที่มีอุปกรณ์เฉพาะมาทำความสะอาดให้หมดจดทุกปี

วิธีจัดบ้านให้สะอาดนาน และทำให้บ้านน่าอยู่มากขึ้น

เพิ่มปริมาณถังขยะภายในบ้าน
หลายคนรู้สึกว่าเพราะถังขยะอยู่ไกล ขี้เกียจเดินไปทิ้ง เอาวางไว้ตรงนี้ก่อน จึงทำให้พบว่ามีการวางกระดาษทิชชูใช้แล้ว หรือซองพลาสติกต่างๆ เอาไว้ทั่วบ้านโดยที่ไม่รู้ตัว เพราะลืมเอาไปทิ้ง แต่ข้อดีของการเพิ่มปริมาณถังขยะภายในบ้านตามจุดต่างๆ ภายในบ้านก็จะเท่ากับเป็นการย้ำเตือนให้เราทิ้งขยะให้ถูกที่ทันที ไม่ปล่อยลืมไว้จนกลายเป็นขยะในบ้าน และที่สำคัญ การเพิ่มปริมาณถังขยะภายในบ้านยังเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกดีๆ ในการทิ้งขยะให้ถูกที่ถูกทางอีกด้วย

พยายามเก็บข้าวของไว้ในตู้
ที่ใดมีอากาศ มีลมพัดผ่านที่นั่นมักมีฝุ่น และยิ่งถ้าบ้านใครนิยมที่จะเปิดประตู หรือเปิดหน้าต่างไว้ ข้อดีคือเพื่อช่วยให้อากาศในบ้านถ่ายเทได้สะดวก ข้อเสียคือ ทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ อาทิ เสื้อผ้าที่เป็นตัวเก็บฝุ่นได้ง่าย หรือโต๊ะเครื่องแป้งที่มักจะเห็นข้าวของเครื่องใช้มากมายที่วางรวมกันอย่างระเกะระกะ แบบนี้ก็ยิ่งทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นได้ง่าย ลองสังเกตดูว่าหลังจากที่ได้เช็ดฝุ่นออกแล้ว แต่ปริมาณข้าวของยังท่าเดิม วางระเกะระกะเหมือนเดิม เพียง 2-3 วัน ก็เกิดฝุ่นสะสมได้มากแล้ว

ฝุ่น นอกจากจะเป็นสาเหตุของโรคในระบบทางเดินหายใจแล้ว ยังทำความสะอาดได้ยากอีกด้วย ยกตัวอย่างขณะที่เช็ดทำความสะอาดโต๊ะเครื่องแป้งลองสังเกตตามมุมหรือซอกของโต๊ะ จะพบว่ายังมีฝุ่นที่เกาะติดอยู่ซึ่งทำความสะอาดได้ยากมาก กลับกันหากเรามีการจัดเรียงข้าวเครื่องใช้บนโต๊ะทันทีหลังใช้งานเสร็จ ก็จะช่วยลดงาน และลดขั้นตอนการทำความสะอาดบ้านได้อีกเยอะทีเดียว

ลดปริมาณพรมภายในบ้าน
การตกแต่งบ้านด้วยพรม ไม่ว่าจะเป็นพรมขนสั้น หรือพรมขนยาว จะช่วยทำให้บ้านดูดีมากขึ้น แต่ข้อจำกัดอีกเรื่องคือ พรมเป็นตัวเก็บกักฝุ่นได้ดีเช่นกัน และที่สำคัญ ต่อให้ใช้หุ่นยนต์ดูดฝุ่นก็ไม่สามารถดูดฝุ่นบนพรมได้ ยกเว้นว่าจะใชเครื่องดูดฝุ่นช่วย แต่การแก้ไขที่สาเหตุอย่างการปรับลดปริมาณพรมในบ้านลง ก็ย่อมเป็นการช่วยลดการเกิดฝุ่นในบ้านได้ดีกว่า และลดปัญหาเรื่องของสุขภาพได้อีกด้วย

14
หมอออนไลน์: แอนแทรกซ์ (Anthrax)

แอนแทรกซ์ (anthrax)* เป็นโรคติดเชื้อร้ายแรงที่เกิดขึ้นในสัตว์เลี้ยง (เช่น โค กระบือ ม้า อูฐ แพะ แกะ) ซึ่งสามารถติดต่อมาสู่คนได้ แต่จะไม่ติดจากคนสู่คนด้วยกัน

โรคนี้พบได้ประปราย ซึ่งมักพบในกลุ่มคนที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง (เช่น คนงานในโรงเลี้ยงสัตว์ โรงงานฟอกหนังหรือทำขนสัตว์ สัตวแพทย์ สัตวบาล) หรือบริโภคเนื้อสัตว์ดิบ ๆ

ในบ้านเรามีรายงานผู้ป่วยเป็นครั้งคราว เคยมีรายงานการระบาดหมู่จากการบริโภคเนื้อกระบือ เมื่อปี พ.ศ. 2525 (ป่วยเป็นแอนแทรกซ์คอหอย 24 ราย ตาย 3 ราย และในช่วงเดียวกันพบแอนแทรกซ์ผิวหนัง 52 ราย)

*โรคนี้มีความร้ายแรง มีการนำเชื้อแอนแทรกซ์ไปผลิตเป็นอาวุธชีวภาพเช่นเดียวกับโบทูลิซึม บรูเซลโลซิส กาฬโรค ฝีดาษ (ไข้ทรพิษ) เชื้อไวรัสสมองอักเสบ เชื้อไวรัสไข้เลือดออกร้ายแรง (Ebola และ Marburg) โรคทูลารีเมีย (tularemia)
ในปี พ.ศ. 2543 ในประเทศสหรัฐอเมริกามีผู้ที่รับจดหมายใส่ผงเชื้อแอนแทรกซ์ (ดูคล้ายแป้ง) จากผู้ไม่หวังดีป่วยเป็นโรคนี้ 22 ราย ตาย 5 ราย เชื่อว่าเชื้อแอนแทรกซ์ขนาด 1 กก. สามารถใช้ฆ่าคนได้ 10,000 คน

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า บาซิลลัสแอนทราซิส (Bacillus anthracis) เชื้อโรคมีลักษณะเป็นสปอร์พบอยู่ตามดินทราย มีความทนทานอยู่ในสภาพแวดล้อมได้นานนับสิบปี และมีแมลงวันและนกแร้งเป็นตัวนำเชื้อไปแพร่กระจาย คนเราสามารถติดเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง ได้แก่

    ทางผิวหนัง โดยการสัมผัสถูกสปอร์ (ตามดินทราย หนังสัตว์ ขนสัตว์) โดยตรง เชื้อจะผ่านเข้าทางบาดแผลหรือรอยถลอกบนผิวหนัง
    ทางปาก โดยการกินเนื้อสัตว์ที่ติดเชื้อ โดยไม่ได้ปรุงให้สุก
    ทางเดินหายใจ โดยการสูดเอาสปอร์เข้าไปในปอด มักพบในคนงานในโรงงานฟอกหนัง ทำขนสัตว์หรือหนังสัตว์

เมื่อสปอร์เข้าสู่ร่างกายก็จะมีการงอกเจริญเติบโตและปล่อยสารพิษหลายชนิดออกมาทำลายเนื้อเยื่อต่าง ๆ เกิดอาการอักเสบ บวม เป็นแผล เนื้อตาย เลือดออก

ระยะฟักตัว 1-6 วัน (ถ้าเกิดจากการสูดเข้าทางเดินหายใจ อาจนานถึง 6 สัปดาห์)

อาการ

โรคนี้แบ่งเป็น 3 ชนิด ตามลักษณะการติดเชื้อ ซึ่งมีอาการแสดงและความรุนแรงแตกต่างกัน ดังนี้

แอนแทรกซ์ผิวหนัง (cutaneous anthrax) เป็นชนิดที่พบได้มากที่สุด คือ ประมาณร้อยละ 95 ของผู้ป่วยแอนแทรกซ์ หลังติดเชื้อ 2-5 วันจะเกิดอาการ โดยเริ่มขึ้นเป็นตุ่มนูนที่ผิวหนังคล้ายถูกแมลงกัด แล้วใน 1-2 วันต่อมาจะเป็นตุ่มน้ำขนาด 1 ซม. มีลักษณะบวมโดยรอบ (บางครั้งอาจบวมรุนแรง ถ้าขึ้นที่บริเวณคอ อาจทำให้หายใจลำบาก) หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ตุ่มน้ำจะแตกกลายเป็นแผลมีจุดดำตรงกลาง (ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ตาย) คล้ายถูกบุหรี่จี้ เรียกว่า สะเก็ดแผลไหม้ (eschar)* ตุ่มและแผลจะไม่เป็นหนอง ไม่รู้สึกเจ็บ อาจคันเล็กน้อย ถ้าไม่ได้รับการรักษาประมาณร้อยละ 20 ของผู้ป่วยจะมีการแพร่กระจายเชื้อไปทั่วร่างกาย เกิดอาการไข้ หนาวสั่น ปวดกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน ต่อมน้ำเหลืองใกล้บริเวณแผลเกิดการอักเสบ และมีอาการติดเชื้อของอวัยวะต่าง ๆ เป็นอันตรายได้

แอนแทรกซ์ทางเดินอาหาร (gastrointestinal anthrax) พบได้น้อยกว่าร้อยละ 1 ของผู้ป่วยแอนแทรกซ์ อาการเกิดหลังกินเนื้อสัตว์ที่ไม่สุกประมาณ 2-3 วัน เริ่มด้วยอาการไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ในรายที่เป็นรุนแรงจะมีอาการถ่ายเป็นเลือด ท้องมาน (ท้องบวมน้ำ) ช็อก

ในรายที่มีการอักเสบในคอหอย (แอนแทรกซ์คอหอย) จะมีอาการไข้ เจ็บคอ คอบวม กลืนลำบาก เลือดออกจากปาก หายใจลำบาก ต่อมน้ำเหลืองข้างคอโต

แอนแทรกซ์ปอด (inhalation หรือ pulmonary anthrax) พบได้ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยแอนแทรกซ์ อาการเกิดหลังสูดเอาสปอร์เข้าไปในทางเดินหายใจประมาณ 1-6 วัน อาการแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกจะเริ่มด้วยอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ไอแห้ง ๆ รู้สึกแน่นบริเวณยอดอก (ลิ้นปี่) คล้ายไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอาจเป็นอยู่ 2-3 วัน อาการนี้ก็จะทุเลาลงหรือหายไปเอง แต่หลังจากนั้นก็เข้าสู่อาการระยะที่ 2 (ซึ่งสปอร์มีการงอกเจริญเติบโต และปล่อยพิษออกมาจำนวนมาก ทำลายปอดอย่างรุนแรง) ผู้ป่วยจะกลับทรุดลงด้วยอาการไข้สูง เหงื่อแตก หายใจหอบ ตัวเขียว บางรายอาจมีอาการไข้ต่ำหรือตัวเย็นเกินร่วมกับภาวะช็อก มักจะมีอาการอยู่ประมาณ 24 ชั่วโมง แล้วเสียชีวิตภายในเวลารวดเร็ว (หากไม่ได้รับการรักษา) ถ้าไม่ได้รับการรักษาแอนแทรกซ์ปอดมีอัตราตายร้อยละ 95

* ลักษณะแผลที่มีจุดดำเป็นที่มาของชื่อโรค คำว่า anthrax เป็นภาษากรีก แปลว่า ถ่านหิน (coal) ซึ่งมีสีดำ

ภาวะแทรกซ้อน

ร้อยละ 50 ของผู้ป่วยจะมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบแทรกซ้อน เกิดจากการแพร่กระจายของเชื้อทางกระแสเลือด ซึ่งเกิดได้กับแอนแทรกซ์ทุกชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอนแทรกซ์ปอด

อาจเกิดภาวะช็อกจากการตกเลือดทางเดินอาหาร หรือจากร่างกายสูญเสียน้ำ (น้ำออกจากกระแสเลือดไปอยู่ในช่องท้องและเนื้อเยื่อต่าง ๆ)

บางรายอาจมีภาวะไตวายแทรกซ้อน ซึ่งเกิดจากพิษของแอนแทรกซ์

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

แอนแทรกซ์ผิวหนัง จะพบรอยแผลที่ผิวหนังขึ้นเป็นตุ่มนูนแดง ต่อมากลายเป็นตุ่มน้ำแล้วแตกเป็นสะเก็ด มีจุดดำตรงกลางคล้ายรอยถูกบุหรี่จี้ เรียกว่า สะเก็ดแผลไหม้ ในระยะหลังอาจตรวจพบไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต

แอนแทรกซ์ทางเดินอาหาร มักตรวจพบไข้ อาจพบแผลในช่องปาก เลือดออกจากปาก ต่อมน้ำเหลืองข้างคอโต คอบวม ในระยะหลังอาจพบอาการท้องมาน ถ่ายเป็นเลือด ซีด ช็อก

แอนแทรกซ์ปอด จะพบไข้ หายใจหอบ ตัวเขียว ช็อก ใช้เครื่องฟังปอดอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบ (crepitation) เสียงหายใจค่อย ปอดเคาะทึบ (เนื่องจากมีภาวะน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด)

อาจตรวจพบภาวะแทรกซ้อน คอแข็ง หมดสติ (จากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ) ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออก (จากภาวะไตวาย)

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ย้อมเชื้อจากแผล เสมหะ หรืออุจจาระ เพาะเชื้อจากเลือดหรือเสมหะ พิสูจน์ชิ้นเนื้อผิวหนัง (skin biopsy) ทดสอบทางน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทาน เอกซเรย์ปอด (บางรายอาจต้องตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์) รวมทั้งทำการเจาะหลังเพื่อตรวจน้ำไขสันหลัง และใช้เครื่องส่องตรวจกระเพาะลำไส้

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล นอกจากการรักษาตามอาการ (เช่น ยาลดไข้ ให้เลือด ให้สารน้ำและเกลือแร่ ให้ออกซิเจน เป็นต้น) แล้ว ที่สำคัญคือการให้ยาปฏิชีวนะกำจัดเชื้อ เช่น ไซโพรฟล็อกซาซิน หรือดอกซีไซคลีน ร่วมกับคลินดาไมซิน และ/หรือไรแฟมพิซิน โดยให้ทางหลอดเลือดดำ เมื่อดีขึ้นจึงเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดกินนาน 60 วัน

ผลการรักษา ถ้าได้รับยาปฏิชีวนะตั้งแต่ก่อนมีอาการ (สำหรับผู้สัมผัสโรค) หรือระยะแรกเริ่มของการแสดงอาการ หรือเป็นแอนแทรกซ์ผิวหนัง ก็มักจะได้ผลดี และหายได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าให้การรักษาช้าเกินไป หรือในรายที่เป็นแอนแทรกซ์ปอด ก็มักจะได้ผลไม่ดี และยังมีโอกาสเสียชีวิตได้ (แอนแทรกซ์ปอดถึงแม้จะได้รับการรักษา ก็ยังมีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 75) ส่วนผู้ป่วยที่มีเยื่อหุ้มสมองอักเสบแทรกซ้อนมักจะตายเกือบทุกคน

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้สูงร่วมกับอาการหนาวสั่น มีแผลที่ผิวหนังเหมือนถูกบุหรี่จี้ หรือมีไข้ร่วมกับอาการไอ หายใจหอบ (ซึ่งพบในคนงานในโรงงานฟอกหนัง ทำขนสัตว์หรือหนังสัตว์) หรือมีไข้ร่วมกับอาการปวดท้อง ท้องเดิน ถ่ายเป็นเลือด (หลังกินเนื้อสัตว์ดิบหรือสุก ๆ ดิบ ๆ) ซึ่งพบในผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีคนหรือสัตว์ป่วยด้วยโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคแอนแทรกซ์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    กินยาปฏิชีวนะให้ครบตามระยะที่แพทย์กำหนด (อาจนานถึง 60 วัน) ถึงแม้อาการดีขึ้นแล้วก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้โรคกำเริบ

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้าหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

1. ดำเนินมาตรการป้องกันและควบคุมโรคแอนแทรกซ์ในสัตว์เลี้ยงอย่างเคร่งครัดและทั่วถึง

2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อหรือเป็นโรคแอนแทรกซ์

3. ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ที่ไม่ได้ปรุงให้สุก

4. ผู้สัมผัสเชื้อ (กินเนื้อสัตว์ที่เป็นโรค สูดสปอร์แอนแทรกซ์เข้าปอด หรือสัมผัสถูกสัตว์ป่วยโดยตรง) ควรให้ยาป้องกันกินทันที (ก่อนมีอาการ) และกินติดต่อกันนาน 60 วัน โดยเลือกใช้ชนิดใดชนิดหนึ่งดังนี้

    ไซโพรฟล็อกซาซิน 500 มก. วันละ 2 ครั้ง
    ดอกซีไซคลีน 100 มก. วันละ 2 ครั้ง
    สำหรับเด็กและหญิงตั้งครรภ์ ให้อะม็อกซีซิลลิน 500 มก. ทุก 8 ชั่วโมง (เด็กให้ขนาด 80 มก./กก./วัน แบ่งให้วันละ 3 ครั้ง)

5. วัคซีนป้องกันแอนแทรกซ์ ไม่แนะนำให้ฉีดแก่คนทั่วไป แต่จะฉีดให้แก่กลุ่มคนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อแอนแทรกซ์ เช่น ทหาร (เสี่ยงต่อการถูกโจมตีด้วยเชื้อแอนแทรกซ์) ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงในพื้นที่ระบาด ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับหนังสัตว์หรือขนสัตว์ที่นำมาจากพื้นที่ที่มีการระบาด เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการเกี่ยวกับเชื้อชนิดนี้

ข้อแนะนำ

1. ปัจจุบันพบผู้ป่วยแอนแทรกซ์ในบ้านเราน้อยมาก เนื่องจากมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคในสัตว์เลี้ยงอย่างทั่วถึง แต่ในบางครั้งหรือบางแห่งอาจมีการละเลยในการป้องกันโรคในสัตว์เลี้ยง ก็ยังมีโอกาสแพร่โรคนี้มาสู่คนได้ จึงต้องระมัดระวังในการป้องกันโรคนี้

2. อาการแสดงของโรคนี้คล้ายไข้หวัดใหญ่ สครับไทฟัส ไทฟอยด์ อาหารเป็นพิษ ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ดังนั้นถ้าพบผู้ที่มีอาการของโรคเหล่านั้น อย่าลืมถามประวัติการสัมผัสโรคจากสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีการระบาด

3. โรคนี้ติดต่อจากสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อ ไม่ติดจากคนสู่คนด้วยกันเอง ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องแยกหรือกักตัวผู้ป่วย



15
โปรแกรมหมอประจำบ้านอัจริยะ: ไข้ปวดข้อยุงลาย/ไข้ชิคุนกุนยา (Chikungunya fever)

ไข้ปวดข้อยุงลาย หรือไข้ชิคุนกุนยา* เป็นโรคติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งมีการระบาดได้รวดเร็ว ทำให้มีอาการไข้ ผื่นขึ้น และปวดข้อ ส่วนใหญ่มักจะเป็นไม่รุนแรงและหายได้เอง และไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากอาจทำให้มีอาการปวดข้อเรื้อรัง

 *ชิคุนกุนยา (Chikungunya) เป็นภาษามากอนดี (แอฟริกา) แปลว่าตัวโค้งงอ เนื่องจากผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อมากจนตัวโค้งงอ จึงตั้งชื่อโรคนี้ตามลักษณะอาการของโรค

สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา มียุงลายสวน (Aedes albopictus) และยุงลายบ้าน (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรค พบระบาดได้รวดเร็วและกว้างขวางซึ่งมักพบในฤดูฝน พบได้ในทุกกลุ่มอายุ พบมากในกลุ่มวัยทำงาน

ระยะฟักตัวของโรค 1-12 วัน (ส่วนใหญ่ 2-3 วัน)

อาการ

ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเฉียบพลัน (39-40 องศาเซลเซียส) ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย มักมีอาการปวดข้อรุนแรง ตาแดง และมีผื่นแดงเล็ก ๆ คล้ายหัด (พบมากตามลำตัวและแขนขา) ซึ่งมักหายได้เองภายใน 7-10 วัน

บางรายอาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ร่วมด้วย

ไข้มักจะขึ้นสูงตลอดเวลาและเป็นอยู่ประมาณ 2-4 วันก็ทุเลาไปเอง

ส่วนอาการปวดข้อมักจะเป็นตามข้อเล็ก ๆ หลายข้อ (มักเกิน 10 ข้อ) พร้อมกัน หรือมีลักษณะย้ายจากข้อหนึ่งไปยังอีกข้อหนึ่ง บางครั้งพบว่ามีข้ออักเสบบวมแดง ข้อที่พบว่าปวดได้บ่อย ได้แก่ มือ ข้อมือ เท้า และข้อเท้า การกดด้านหน้าของข้อมือทำให้อาการปวดข้อมือรุนแรงมากขึ้น (ซึ่งเป็นลักษณะจำเพาะของโรคนี้) อาการปวดข้อมักเป็นอยู่นาน 1-2 สัปดาห์ ในรายที่เป็นรุนแรงอาจนานเป็นแรมเดือน ทำให้ผู้ป่วยขยับข้อไม่ได้หรือเคลื่อนไหวได้ลำบาก

บางรายเมื่ออาการปวดข้อทุเลาไปแล้วอาจกำเริบได้อีกภายใน 2-3 สัปดาห์ บางรายอาจมีอาการปวดข้อนานเป็นแรมปี

ภาวะแทรกซ้อน

ที่พบบ่อยคือ อาการปวดข้อเรื้อรัง ซึ่งอาจทำให้เคลื่อนไหวลำบาก

ส่วนภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ พบได้น้อยมาก เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ประสาทหูอักเสบ จอตาอักเสบ ม่านตาอักเสบ ไตอักเสบ ตับอักเสบ สมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ กลุ่มอาการกิลเลนบาร์เร เป็นต้น ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้อาจพบในทารกแรกเกิดที่ติดเชื้อจากมารดาขณะอยู่ในครรภ์ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และสิ่งตรวจพบดังนี้

    ไข้ 39-40 องศาเซลเซียส
    ตาแดง ผื่นแดงตามตัว
    ข้ออักเสบ (ปวดบวมแดงร้อน)

หากไม่แน่ใจ แพทย์จะยืนยันการวินิจฉัยด้วยการตรวจเลือดหาเชื้อ หรือสารภูมิต้านทานต่อเชื้อชนิดนี้

การรักษาโดยแพทย์

ให้การรักษาตามอาการ เช่น พาราเซตามอลบรรเทาไข้ ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์บรรเทาปวดข้อ เป็นต้น ผู้ป่วยมักจะหายได้เอง โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง และไม่พบภาวะเลือดออกรุนแรงหรือภาวะช็อกแบบไข้เลือดออก

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีไข้ ผื่นขึ้น ปวดข้อ หรือมีไข้ในช่วงที่มีคนในละแวกใกล้เคียงเป็นไข้ปวดข้อยุงลาย ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้ปวดข้อยุงลาย (ไข้ชิคุนกุนยา) ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    พักผ่อนมาก ๆ ห้ามตรากตรำงานหนักหรือออกกำลังกายมากเกินไป
    ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยลดไข้ และทดแทนน้ำที่เสียไปเนื่องจากไข้สูง
    ควรกินอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อน ๆ
    ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
    มีอาการไข้สูง หนาวสั่นมาก หรือมีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์
    มีอาการซึมมาก เบื่ออาหาร อาเจียน หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง
    มีภาวะแทรกซ้อน เช่น หูตึง ตามัว เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย ดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง) แขนขาอ่อนแรง ชัก เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ทำลายแหล่งเพาะยุงลายบ้านและยุงลายสวน และหาวิธีป้องกันไม่ให้ยุงลายกัด (ดูหัวข้อ "การป้องกัน ในโรคไข้เลือดออก" เพิ่มเติม)

ข้อแนะนำ

1. การวินิจฉัยไข้ปวดข้อยุงลาย อาศัยลักษณะอาการแสดงของโรคเป็นหลัก ได้แก่ อาการไข้สูง ปวดข้อ มีผื่นแดง หากจำเป็นต้องยืนยันให้แน่ชัด อาจจำเป็นต้องตรวจเลือดหาสารภูมิต้านทานต่อไวรัสชิคุนกุนยา หรือตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสชนิดนี้

2. โรคนี้ส่วนใหญ่หายได้เองและไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี และผู้ที่มีโรคเรื้อรัง (เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด) หากเป็นโรคนี้ควรเฝ้าระวังอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมาได้

3. โรคนี้อาจพบระบาดในชุมชน (จากการมียุงลายบ้านเป็นพาหะของโรคนี้ รวมทั้งไข้เลือดออก และไข้ซิกา) และในแหล่งที่มีการทำสวน (เช่น สวนยาง ซึ่งมียุงลายสวนเป็นพาหะของโรคนี้)

4. ผู้ที่เคยเป็นโรคนี้จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสชิคุนกุนยา มักจะไม่เป็นซ้ำอีก แต่อาจเป็นไข้เลือดออก หรือไข้ซิกาได้ เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัสคนละชนิดกัน และมียุงลายบ้านเป็นพาหะเช่นเดียวกัน

5. ไข้ปวดข้อยุงลาย มักมีอาการไข้สูง มีผื่นแดงตามตัว และปวดข้อเป็นสำคัญ แต่ในบางรายอาจมีจุดแดง (จุดเลือดออกเล็ก ๆ) ตามผิวหนัง การทดสอบทูร์นิเคต์อาจให้ผลบวก และการตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือดอาจพบว่าต่ำ (แต่จะต่ำกว่าปกติเล็กน้อย ไม่มากเท่าไข้เลือดออก) ซึ่งมีลักษณะคล้ายไข้เลือดออกระยะแรก แต่ต่างกันตรงที่ไข้ปวดข้อยุงลายมักจะมีอาการข้ออักเสบ (ปวดข้อ ข้อบวมแดงร้อน) ร่วมด้วย มักมีไข้สูงอยู่เพียงประมาณ 2-4 วันก็ทุเลาไปเอง หลังจากไข้ลงแล้ว อาจมีอาการข้ออักเสบเรื้อรัง ในขณะที่ไข้เลือดออกมักมีไข้มากกว่า 4-7 วัน อาจมีอาการปวดท้อง อาเจียน ตับโตร่วมด้วย และอาจมีภาวะเลือดออกหรือภาวะช็อกตามมาได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีไข้สูงในระยะแรก ๆ ยังไม่ได้วินิจฉัยให้แน่ชัดด้วยการตรวจเลือดหาเชื้อต้นเหตุว่าเป็นไข้เลือดออกหรือไข้ปวดข้อยุงลาย จึงควรติดตามสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากมีอาการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง (เช่น เกิดภาวะช็อก หรือมีเลือดออก) หรือสงสัยเป็นไข้เลือดออก ก็ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลโดยเร็ว

หน้า: [1] 2 3 ... 41
ลงประกาศฟรี ติดอันดับ Google โฆษณาฟรี ประกาศฟรี ขายฟรี ลงประกาศขายบ้าน ขายที่ดิน ขายคอนโด ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าอุตสาหกรรม อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว ลงโฆษณาฟรี google